TEATIME DIARY
  • Home
  • Teatime
  • Restaurant
  • visit
  • activity
  • contact
  • Blog
Picture

Cité du vin : พิพิธภัณฑ์ไวน์

3/4/2022

2 Comments

 

Cité du vin : พิพิธภัณฑ์ไวน์

Picture
         มา Bordeaux หนึ่งที่ต้องแวะ คือ พิพิธภัณฑ์ไวน์ หรือ “Cité du vin” …อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งส่ายหัว หรือ  “say no” แม้ว่าคุณจะไม่ใช่สายดื่ม… เพราะแม้แต่เด็กเล็ก (แนะนำตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป) ถ้าลองได้ก้าวขาเข้าไป ก็ยังชื่นชอบ (ลูกดิฉันนี่ ไปแล้ว ไปอีก ไปตั้งแต่เล็กๆ ทุกวันนี้ก็ยังชอบไปอยู่เลย) และถ้าคุณเป็นสายดื่มอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรพลาด… แล้วก็ลืมภาพพิพิธภัณฑ์แบบดั้งเดิม ที่มีตัวหนังสือยาวเป็นพรืด แบบแค่เห็นความยาวของแต่ละย่อหน้าก็ถอดใจ อยากร้องกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะที่นี่ ข้อมูล กิจกรรม สถานที่ รวมถึงวิธีการนำเสนอ ถูกออกแบบและจัดวางแบบ interactive ย่อยง่าย และทันสมัย ทำให้การเรียนรู้ ทำความเข้าใจวัฒนธรรมในการผลิตไวน์เป็นเรื่องสนุก น่าติดตาม เวลา 1 - 2 ชั่วโมงจะผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบที่คุณไม่รู้ตัว เพราะมั่วแต่เพลิดเพลินกับการเรียนรู้ กดนั้น ดูนี่ อย่างสนุกสนาน ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวเล่น มากกว่าไปพิพิธภัณฑ์เสียอีก…เริ่มรู้สึกน่าไปแล้วไหม ถ้าพร้อมแล้วเรียนเชิญค่ะ…
Picture
        พอถึงที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะหายาก หรือหลงไปที่อื่นแต่อย่างใด เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของพิพิธภัณฑ์นั้นดูโดดเด่น เป็นที่สะดุดตา และเห็นมาแต่ไกล ขนาดยืนห่างหลายร้อยเมตร ก็ยังสามารถเห็นเหยือกใส่ไวน์ขนาดมหึมา ตั้งสง่าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ พร้อมแสงสะท้อนจากกระจกและอลูมิเนียม ที่ส่องประกายราวกับกำลังทักทายผู้มาเยื่อนแต่ไกล ๆ …. ก่อนเข้า เราแนะนำให้แชะภาพเป็นที่ระลึกก่อน เผื่อขากลับดื่มแล้วลืม😉
        พอก้าวขาเข้าไป แน่นอนด่านแรกคือเคาน์เตอร์ขายตั๋ว😂😂 การเดินทางของเราจะเริ่มโดยการเดินขึ้นบันไดไม้ ที่ถูกออกแบบมาจากการจำลองไวน์ที่หมุนวนอยู่ภายในแก้ว (ไปให้สุด ไม่มีหลุดจากตรีม😜) บันไดนี้จะพาเราเดินวนขึ้นไปที่ชั้น 1 ขวามือจะเป็นห้องสมุด ที่สร้างเป็นรูปโดม มีหลังคาเป็นไม้สีสว่าง ตกแต่งให้ดูโปร่ง เรียบง่าย แต่ดูสบายตา บรรยากาศเชื้อเชิญให้นั่งสุดๆ ที่นี่รวบรวมหนังสือ ข้อมูลและการ์ตูนเกี่ยวกับไวน์ให้อ่านฟรี แถมมีเก้าอี้พร้อมสายชาร์จให้อีก แต่ไม่มีบริการให้ยืมกลับบ้าน (ไม่ต้องซื้อตั๋วก็ใช้บริการห้องสมุดได้ฟรี) ส่วนซ้ายมือจะเป็นห้องไว้สำหรับสัมมนา ห้อง work shop ต่าง ๆ  (แนะนำให้ดูโปรแกรม หรือ book ก่อนมา) ต่อให้บรรยากาศชวนแวะแค่ไหน แต่อย่าเพิ่งหยุดที่นี่ เพราะเราต้องเดินขึ้นบันไดไม้วนขึ้นไปอีก 1 ชั้น

        การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ของเราจะเริ่มอย่างเป็นทางการที่ชั้น 2  หลังจาก scan ตั๋วแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ audio guide พร้อมหูฟัง ตัว audio มีหลายภาษาให้เลือก แต่ยังไม่มีภาษาไทยอยู่ในนั้น🥲 มี audio guide เวอร์ชั่นสำหรับเด็กด้วย อยากไปไหน ดูอะไร แค่เอาเครื่องนี้ไปยิงที่ code bar ตรงสิ่งที่เราสนใจ แต่ละอันจะสั้นๆ เนื้อหาเข้าใจง่าย ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นสำหรับเด็ก มีมุกตลกและเกมส์แถมให้อีก😉 
Picture
ที่ประตูทางเข้าจะมีแผนผังขนาดใหญ่ โดยแบ่งออกเป็นโซนตามหัวข้อต่างๆ  แต่ไม่ต้องเสียเวลาตีลังกาอ่านแผนที่ก็ได้นะ แค่เดินไปเรื่อยๆก็ได้ (ข้างในไม่ได้ใหญ่ หรือกว้างขนาดที่จะเดินแล้วหลงแน่นอน) แต่ถ้าเรามีเวลาจำกัด หรืออยากดูแค่บางหัวข้อเน้นๆ หรือไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เค้ามี guide line แผนการชมเสนอมาให้ถึง 4 แบบ โดยแต่ละอันใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม. ครอบคลุมตรีมหลัก ๆ เลือกได้ตามสไตล์ ตั้งแต่สำหรับชาวเน้น สั้น ๆ เนื้อหาน้อย ๆ แต่ได้ความรู้หลัก ๆ กลับไปด้วย จนถึงสไตล์ที่เป็นนักค้นคว้า ต้องดูให้ครบ ศึกษาให้ละเอียด แบบไม่ถ่องแท้ถือว่าไม่ได้มา  แต่ละตรีมจะแบ่งออกเป็นสีต่างกันไป ซึ่งเราจะดูได้จากแผนผังที่เขาแสดง และจุดสีนี้จะอยู่ในโซนต่าง (เอาจริง ๆ  แผนที่อ่านไม่ออกก็ไม่เป็นไร ตามสีเอาก็เข้าใจ) : 
  • juniors (สีเขียว) สำหรับเด็ก สนุก สั้น กระชับ ได้ขยับร่างกาย (สายเน้นเอ็นเตอร์เทน อันนี้น่าจะโดน😜)
  • Essentials (สีทอง) เน้นองค์รวม เจาะหัวข้อหลัก ๆ ครอบคลุมทุกประเด็น (สายเด็กเรียน อันนี้คือที่สุด🧐)
  • Making Wine (สีแดง) เจาะห่วงโซ่การผลิตไวน์ จากทุกมุมโลก (สายธุรกิจมาเอง🤔)
  • Feast your eyes (สีฟ้า) เน้นที่ดึงดูดตา สบายขา พาอารมณ์สุนทรี (สายโรงหนัง ชอบนั่งดู แผนนี้คือดีสุดๆ😎)
Picture
        ส่วนพวกเรานั้น แน่นอนที่สุดต้องเลือกทาง “สายกลาง” แผนที่ไม่ต้อง เพราะขี้เกียจดู😂😂  เราจะเดินไปเรื่อยๆ แวะแทบทุกจุด อันไหนสนุก ถูกใจ คนไม่เยอะ พอให้ถ่ายรูปได้ เราก็แวะนานหน่อย😉 ​
       เริ่มต้นอุ่นเครื่องเบา ๆ พอให้สัมผัสบรรยากาศ กับฐานแรกซึ่งตั้งอยู่ที่ทางเข้า มีชื่อว่า “survol des vignobles / vineyards from the skies” ที่ ๆ เราจะเจอกับหน้าจอยักษ์ ขนาบ 3 ด้าน พร้อมม้านั่งยาวเรียงราย ที่จะพาเราชมทัศนียภาพไร่ไวน์ แบบกว้างสุดลูกหูลูกตา จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยคลิป video ที่ถ่ายจากมุมสูง ถ้าจะดูให้ครบซีรีย์จะใช้เวลาประมาณ 8 นาที (เรารักคนอ่านขนาดไหน ถึงขนาดจับเวลาให้ด้วย😊)

        หลังจากเต็มอิ่มกับทัศนียภาพของไร่ไวน์ที่กว้างใหญ่ไพศาล คราวนี้เราจะหันมาสนใจของขนาดเล็ก อย่างเจ้าองุ่นลูกน้อย ๆ  เพียงแค่เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไม่ถึง 15 ก้าว เราจะเจอ ไม้หน้าสามเรียงต่อกัน โดยมีป้ายเขียว ๆ แดง ๆ  หน้าตาอนุมาณว่าคือ พวงองุ่นติดเป็นระยะ ๆ  องุ่นแต่ละพวงจะมีตัวอักษรติดอยู่ด้วย ฐานนี้มีชื่อว่า  « Dans les vignes / In the Vine »  เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ต้น กิ่ง ก้าน ใบ เถา ดิน และสายพันธุ์ขององุ่น ทุกคำที่แปะอยู่ที่เถาองุ่นแต่ละพวง เราจะพบคำตอบว่ามันคืออะไร จากการ scan ที่หน้าจอสีเหลี่ยมผืนผ้าที่ห้อยอยู่นั้นเอง  ฐานนี้ดูเหมือนเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่เห็นจำนวนป้าย บอกเลยใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน (ถ้าจะฟังให้ครบก็ต้องมี 15 นาที) แต่เป็นหนึ่งฐานที่แนะนำว่าต้องแวะเลย และถ้ายิ่งมากับเด็กยิ่งแนะนำ เพราะมันมีเกมส์ให้เล่น (แย่งลูกเล่นไปอีก😂) presentation แต่ละอันแค่สั้น ๆ มีทั้งแบบ ภาพ video และข้อความให้อ่าน เป็น 15 นาที ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่น่าเบื่อแน่นอน 
        รู้จักสายพันธุ์แล้ว ต่อมาเราจะชวนไปทำไวน์ในฐานที่มีชื่อว่า « L’élaboration du vin / Wine making » องุ่นเก็บมาแล้ว จากนั้นต้องทำไงต่อ กว่าจะมาเป็นไวน์ 1 ขวด นี่คือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากฐานนี้ ไม้พาย ตระกร้า เครื่องจักร ถังบ่มไวน์ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพราะฐานนี้เราจะทำไวน์ด้วยมนต์วิเศษ ที่ใช้เพียง นิ้วชี้จิ้มที่หน้าจอแต่ละอัน เลือกไวน์ขาว ไวน์แดงตามชอบใจ แล้วเราก็จะเข้าสู่กระบวนการ ตั้งแต่ แยกองุ่น คั้นน้ำ แยกเปลือก ใส่ถังหมัก จนกระทั้งบรรจุขวดพร้อมส่งโรงบ่ม  ทั้งหมดนี้เสร็จง่าย ๆ ด้วยปลายนิ้วชี้ ในเวลาแค่เพียง 8 นาที ฐานนี้เด็ก ๆ ต้องแวะ เพราะมี 3 เกมส์ให้เล่น หนึ่งในนั้นคือการสร้างถังบ่มไวน์ของตัวเองด้วย (แม่อย่างดิฉัน มีหรือจะพลาด ไปขอเล่นของลูกอีกตามเคย😂) 
Picture
.        ใช้นิ้วเสกไวน์แล้ว เหมือนแรงจะหมด ขอแนะนำให้ไปพักในฐานที่อยู่เยื้อง ๆ กัน ที่ชื่อว่า « Au delà des mers / Across the sea » คำเตือนระวังอาการเมาเรือ และคลื่นทะเลนะจ๊ะ😉 ฐานนี้ไม่ต้องทำอะไรเลยแค่เลือกที่นั่งใต้ท้องเรือสำเภา ที่ขนไวน์เดินทางข้ามทะเลกัน ร่วมเดินทางไปกับพ่อค้าชาวโรมันและนักต่อรองชาวฮอลแลนด์ แต่เงื่อนของเรื่องนี้กับอยู่ที่ลูกเรือตัวน้อย ที่มีที่มาไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงพี่น้องของเทพเจ้าองค์หนึ่งทีเดียว เราไม่ได้เขียนเล่าเรื่องแบบคนเมาเรือ หรือเมาไวน์นะ🤣  ฐานนี้มันคือ การนำเสนอเรื่องราวตำนานความเชื่อเข้ากับประวัติศาสตร์ที่จะพาเราย้อนยุค ผ่านฟิมล์ที่ฉายอยู่ใน mini โรงหนัง ที่จะสร้างความฟินตลอดเวลา 8 นาที ผ่านภาพและเสียงนั้นเอง
          ออกจากเรือ เราขอนำเสนอให้ไปพักกาย พักใจกันต่อที่ฐาน « vin de l’amour / wine and love » โดมกลม ๆ ที่พอแหวกม่านสายสลิงสีขาวเข้าไป จะพบที่นั่งสีแดงทอดยาวเป็นรูปครึ่งวงกลม เย้ายวนชวนนั่งเป็นที่สุด ถ้ามาเป็นคู่ นี่คือฐานที่โรแมนติกที่สุด และที่นั่งสบายสุด บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้ม และเหมาะกับการนอนเป็นอย่างยิ่ง  ฐานนี้เหมาะกับการปล่อยใจ และปล่อยกายที่สุด เพราะแค่นอนหลังพิงเก้าอี้ หงายหน้า ตาจ้องเพดาน และปล่อยใจให้รับรู้เรื่องราวความรัก ผ่านภาพที่มีลวดลายศิลปะแนวโรมัน (เป็นความโรแมนติก เคลือบแฝงมากับความอีโรติกเบา ๆ ในระดับของงานศิลปะ แบบไม่มากไป แต่มีอะไรให้ตีความต่อ) ในขณะที่หู จะได้ยินเสียงเพลงลอยแว่วมา พร้อมด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงฝน เสียงฟ้าร้องและอื่นๆ แบบครบทุกองค์ประกอบของความรัก แบบ สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ครบทุกช่วงเวลา ตั้งแต่รักใหม่ผลิใบ ไปจนถึงจากลาใบไม้ร่วงหล่นจากต้น จนกระทั่งฟ้ายังหลั่งน้ำตา…(เรื่องมันเศร้า เคล้าน้ำตาจริง ๆ )
Picture
        ไม่รู้ว่า เพราะบรรยากาศพาไป หรือว่าที่นั่งมันสบายเกิน นั่งฟังไปสักพัก จะรู้สึกไม่อยากลุก เพราะจะอยากนอนฝั่งร่างไปกับเก้าอี้แทน (มิใช่เพราะเรื่องมันเศร้า แต่เพราะที่นั่งสบายจัด😂) แต่ยังมีอีกหลายฐานให้ไปต่อ และยังมีอีกหลายจุดไฮไลท์ ที่ไม่ควรพลาด เราพึ่งเดินทางกันมาถึงแค่ครึ่งเดียวของ cité du vin เอง แต่ถ้าจะให้เขียนต่อให้จบในบทเดียวก็เกรงว่า เนื้อหาจะยาวเป็นกิโล (เราไปตั้งหลายครั้ง กว่าจะดูครบทุกฐาน) เลยขอพักยกไว้ตรง « โดมแห่งรัก » นี่ก่อนน๊า แล้วบทความหน้าจะพาไปตะลุยที่เหลือให้ครบทุกฐาน รับรองเลยบทหน้ามีให้ตื่นตา ตื่นใจ ขยับ จับ ดม ครบ ทุกสัมผัสจริง ๆ ส่วนตอนนี้ ไปนอนฟังเพลงก่อนนะทุกคน 
​เจอกันอีกที บทความหน้านะค่ะ



Picture

ผู้เขียน : Bee Waleethong 
YouTube : Teatime Diary by Bee Waleethong
Blockdit : Teatime Diary by Bee Waleethong
IG : teatimediay_bw / bee_waleethong
Mail : ​teatimediarybw@gmail.com ​

2 Comments

Seven Tea's : ร้านนำ้ชา ชวนย้อนเวลาหารัก ยุค 70’S

1/29/2022

3 Comments

 
Picture

Seven Tea's : ร้านนำ้ชา ชวนย้อนเวลาหารัก ยุค 70’S

                ร้านน้ำชาที่ทำให้เราตกหลุมรักได้ในเวลาแค่เพียง 3 วิ! ถ้าจะบอกว่าเป็นร้านที่ทำให้รู้สึกแบบ รัก ณ. แรกพบ ก็คงจะไม่เกินไปนัก… มันคือร้านที่มองปราดเดียว แต่สะดุดตา และสะกดขาเรา 2 แม่ลูกให้ก้าวเท้าพร้อมยื่นมือผลักประตูเข้าไปดูแบบงง ๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาขายอะไร และไม่เห็นมีลูกค้าในร้านสักคน…(ไม่ใช่  “8โมงเช้าวันอังคาร” แค่ 9 โมงสาย ๆ วันพุธ😉)
​
    แล้วอะไรหรือ…ที่เป็นมนต์สะกด ทำให้เรามองหน้ากันแล้วตัดสินใจ จะไปลองลิ้ม ชิมรส และพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ จากความตั้งใจแรกเริ่มที่จะไปร้านน้ำชาเจ้าคุ้นเคยฝั่งตรงข้าม…มาร่วมหาคำตอบและพิสูจน์ไปพร้อมกันว่า “รักแรกพบใน 3 วิ” ครั้งนี้ จะใช่รักแท้ที่คงอยู่ หรือจะเป็นเพียง “รักแรกพบ ที่จบลงด้วยการลาจากอย่างถาวร”…

Picture
        หลังจากผลักประตูกระจกหนักอึ้งขนาดกว้าง 90 เซนเข้าไป…สิ่งแรกที่ออกมาแสดงตัวต้อนรับเรา คือ เสียงดนตรีบรรเลงเพลง Jazz ที่ลอยมากระทบโสตประสาท สร้างความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกำลังก้าวขาเดินเข้าไปใน “lounge” หรือ cocktail bar…ขณะที่ภาพปรากฏเบื้องหน้า คือ ห้องโถงยาวสีขาว ตัดกับเก้าอี้ไม้ และโซฟาสีฉูดฉาด โทนแดง ส้ม เหลือง ที่โดดเด่นดึงดูดสายตามาแต่ไกล เด่นขนาดที่ว่ามันถูกจัดวางในแถวท้ายๆของห้อง และอยู่ในระยะที่ไกลสุดนับจากประตูทางเข้า แต่กลับเป็นสิ่งแรก ๆ ที่เราเห็น   การจัดวางเก้าอี้และตรีมสีของร้านที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานในบรรยากาศสไตล์ “Jazzy” (ต้องบอกเลยเค๊ารักษาตรีมร้านได้ยันห้องน้ำอ่ะ เหลืองตั้งแต่พื้นยันผนังห้องเลย😄) 
        จากนั้นสายตาเราก็ไปสะดุดกับโซฟายาวสีส้มและเหลืองตรงกลางร้าน ตั้งแบบหันหลังชนกัน หันหน้าเข้ากำแพง  ในใจแอบคิดไปว่า ใครจะมานั่งเรียงแถวกันแบบนี้น๊า แต่พอลองไปนั่งแล้ว บอกเลยว่ามันคือ ที่ต้องนั่งและคู่ควรแก่การใช้เวลาเสพสุขสักพัก เพราะเราจะเห็นชั้นที่วางแผ่นเสียงเรียงราย 2 ฝั่งตลอดความยาวของที่นั่ง มีบางแผ่นที่ถูกเอามาจัดวางบนกำแพง ส่วนอีกด้านหนึ่ง มีกีตาร์ พร้อมแก้วและงานศิลปะแบบกระเป๋าทำมือขายด้วย  แน่นอนมีแผ่นเสียงก็ต้องมีเครื่องเล่น ซึ่งมันถูกจัดให้ตั้งอยู่แบบแอบ 
ๆ ราวกับสาวขี้อายที่มุมท้ายห้อง… 

Picture
        หลังจากสำรวจสถานที่ สอดส่องทุกมุม และเพลิดเพลินกับการเดินมองพื้น ที่มีตัวอักษรเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนไม้ที่แกะออกมาจากลังใส่ขวดไวน์แล้วมาวางต่อๆกัน เราก็ตัดสินใจไปนั่งที่เก้าอี้นวมสีแดง กับโต๊ะเตี้ยกระจกสีควันบุหรี่ ถ้าคุณมองหาตัวเลือกเหมาะสำหรับจิบชา ทานขนม หรือทำงาน โต๊ะนี้อาจไม่ใช่มุมดีที่ตอบโจทย์นัก แต่มันเป็นมุมเก๋ เหมาะกับถ่ายรูปลง IG เป็นที่สุด หรือนั่งคุยกระหนุงกระหนิงตามภาษาคนรักก็ดูเข้าที ส่วนเรานั้นเลือกมุมนี้ ด้วยเหตุผลของเด็กชายมาทิอาส ที่ว่า มันดูตัดกับเสื้อแจ็กเก็ตสีเขียวสะท้อนแสงของเขาดี😂 (ค่ะ ดิฉันมีลูกชาย 9 ปี ที่มีสไตล์การแต่งตัว แบบไม่ปรึกษาพ่อแม่ และไม่คิดจะอ่านไลน์กลุ่ม🤣🤣​) เจ้าของร้านพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส ดูอัธยาศัยดี ระหว่างพาเราเดินชมร้านและให้เลือกนั่งตามชอบใจ ทำให้เรารู้ว่าเขาเพิ่งเปิดได้ยังไม่ถึงเดือนเลย…

        ในที่สุดเราก็ได้เวลาค้นพบว่า ร้านเขาขายอะไร (จะได้ทานแล้ว…หลังจากพล่ามมานาน😅) เมนูดูไม่ซับซ้อนและไม่มีอะไรหวือหวาเลย มีกาแฟ เครื่องดื่มเย็น น้ำอัดลม ช็อกโกแล็ต ชาสมุนไพร ชาเขียว ชาขาว และชาดำ  แต่ไม่มีชาเขียวธรรมดา😔 มีแต่เขียวกลิ่นมะลิ ไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนขนมก็มี คุกกี้ ชีสเค้ก ครัวซอง ขนมปังกับแยม แต่ที่สะดุดตาเราคือ  “chocolatine (โช-โค-ลา-ติน)” ราคา 1.20 ยูโร แต่ “pain au chocolat (ปัง-โอ-โช-โก-ลา)” คิด 50 ยูโร  ทั้งที่จริงมันคือขนมอันเดียวกัน! เป็นขนมปังใส่ช็อกโกแล็ตข้างใน แต่ถ้าสั่งผิด ชีวิตเปลี่ยนนะ เขาไม่ได้พิมพ์ราคาที่เมนูผิดแต่อย่างใด แต่มันคือ  หนึ่งในกิมมิกอารมณ์ขันของร้านนี้ จะมาเรียกแบบชาวปารีสว่า “pain au chocolat” ในเมือง Bordeaux ก็จ่ายราคาสูงไปนะจ๊ะ😉…ให้รู้กันไปว่า นี่ถิ่นใคร😆…

           สิ่งที่เราสั่งวันนี้ ชาเขียวมะลิ กับ chocolatine ของคุณมาทิอาส แล้วก็ชาสมุนไพร กับ ชีสเค้กของเรา บอกตรงๆตอนเห็นเมนู คิดในใจว่าไม่ต้องหวังมากกับรสชาติ ถือว่าได้สถานที่ตกแต่งมีสไตล์ไป แต่พอเขาเอาชามาเสริฟ์ เราแอบบวกคะแนนเพิ่มให้ในใจไปอีกมากอยู่ เพราะอย่างน้อยถือว่า เข้าใจหัวอกคนดื่มชาว่ามันควรจะมีที่จับเวลา และที่รองกากชามาให้ ซึ่งร้านโดยทั่วไปไม่คิด (แม้กระทั่งโรงแรมใหญ่ๆบางที่ก็ไม่มีให้) ทั้งหมดมาในชุดเครื่องแก้ว มีกาขนาดกำลังพอดี  ถ้วยรองกากชา และแน่นอนแก้วชา วางลงในถาดไม้พร้อมนาฬิกาทรายแบบ 3 4 และ 5 นาที…สำหรับขนมรสชาติก็พอได้ แต่ชีสเค้กจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี ถ้าคุณเป็นแฟนชีสเค้กสไตล์ New York เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอ ‘ชีสเค้กแบบฝรั่งเศส’ ที่ ไม่เค็ม ไม่มัน ไม่เลี่ยน (สารพัด ‘ไม่’ รวมถึงความอร่อยด้วย😅)
​         
นอกจากนั่งจิบชา และเพลิดเพลินกับการทานขนมแล้ว เรายังสามารถเดินไปเลือกแผ่นเสียงแล้วเอาไปเปิดได้ตามชอบใจด้วย แผ่นที่กำลังเล่นอยู่เขาจะเอาซองไปตั้งไว้ที่มุมผนังด้านหนึ่ง อยากรู้ว่ามันคือเพลงอะไรก็เดินไปดูได้สะดวกแบบไม่รบกวนใครเลย


Picture
             หลังจากนั่งแช่ ถ่ายรูปเล่น และสำรวจสักพักใหญ่ เริ่มมีคนเข้ามานั่งเพิ่ม สิ่งที่สังเกตได้เลย คือ ทุกคนน่าจะมาทำงาน เพราะนั่งๆแล้วก็กดหน้าจอกันทั้งนั้น ไม่ต้องคิดว่าจะไปเจอใครหรือได้พบรัก ณ.แรกสบตา เพราะทุกคนไม่เงยหน้าจากจอเลย😂😂  จะว่าไปจริง ๆ แล้วที่นี่ก็ดูเหมาะกับมานั่งทำงาน หรือหาไอเดียอยู่เหมือนกันนะ มีทั้ง wifi เก้าอี้ และโต๊ะแบบนักเรียนที่เหมาะกับการทำงานเป็นอย่างดี

        สรุปร้านนี้สำหรับเราเป็น “รัก ณ. แรกพบ” ที่ไม่ได้จบด้วยการลาจากอย่างถาวร แต่ยังไม่ถึงขั้นรักแท้ที่คงทน น่าจะกลายมาเป็น ‘สะดุดรัก ณ. แรกพบ แล้วจบด้วยการพัฒนาสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันแบบ ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ นาน ๆ เจอกันทีก็ดีเหมือนกัน  เพราะถ้าดูเรื่องความหลากหลายของขนมและเครื่องดื่ม ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ๆ แนะนำ แต่ถ้าต้องการหาบรรยากาศและการตกแต่งแนวสีสันสนุกสนาน มีความโปร่งโล่งสบายเหมาะกับการทำงาน และราคาแบบเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ หรือนัดลูกค้าแบบไม่เป็นทางการที่เน้นเร็ว ไม่นั่งแช่ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน

ข้อมูลควรรู้
  • Seven Tea’s (Bordeaux, France), 6 rue des Argentiers, 33000 Bordeaux
  • เปิด อังคาร - อาทิตย์ 9.00 - 19.00
  • เครื่องดื่ม 3.50 - 4€
  • ขนม 1.20 - 4€​

Auteur : Bee Waleethong
Blogger, Entrepreneur, YouTuber, Creator, Spa Business Consultant, Woman, Mom and myself.

3 Comments

Sur Mesure par Thierry Marx : 2 ดาวมิชิลินตามสไตล์เชฟเทรี มาร์ก

6/6/2019

2 Comments

 

Sur Mesure par Thierry Marx :2 ดาวมิชิรินสไตล์เชฟเทรี มาร์ก

Picture
และแล้วก็ได้ฤกษ์เขียนถึงร้านอาหารติดดาวMichelin ...อาหารแนวgastronomy ฝรั่งเศสนั้นขึ้นชื่อเป็นอันดันต้นๆของโลกเลยทีเดียว จำนวนเชฟติดดาวมิชิลินถือได้ว่าอุ่นหนาฝาคลั่งและรวมตัวกันอย่างหนาแน่นโดยเฉพาะที่ปารีส...(ที่ไทยเราก็มีแล้วนะเพิ่งเริ่มปี2018เดียวจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไป)
คราวนี้ไปชิมอาหารฝรั่งเศส 2ดาวมิชิลิน...อ่ะๆแต่อย่าเพิ่งนึกว่าจะได้ชิมอะไรที่ฝรั่งเศสจ๋านะเพราะคราวนี้ไปกับมาทิอาสและคุณยาย(เป็นแม่เราแต่เรียกตามลูก) โจทย์ของคุณยายคืออาหารโดยเชฟฝรั่งเศสแต่ไม่แนวtradition(เพราะไม่เอาเนื้อ ไม่ชอบการปรุงแบบrosé ไม่ชอบอะไรดิบแบบพวกtartare...) ส่วนเด็กชายมาทิอาสนั้นพอบอกปารีสเธอคิดถึงแต่ร้านอาหารญี่ปุนแท้ทรู(บ้านเราไปปารีสเพื่ออาหารนานาชาติมากกว่าเพราะปกติอยู่Bordeauxอาหารฝรั่งเศสมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต) เราก็เลยจัดSur Mesure par Thierry Mark ให้คุณทั้งสองไปเพราะเป็นร้านอาหารจากเชฟฝรั่งเศสที่ทำอาหารติดดาวในแบบที่เจอกันระหว่างอาหารฝรั่งเศสแนวอลังมาพบประสบรักกับความไฉไลของวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ออกมาเป็นอาหารแนวประดิษย์แนวgastronomy molecular...และเชฟคนนี้inspirationอย่างแรงกล้าจากอาหารเอเชีย...เสริฟในบรรยากาศแบบสบายๆตกแต่งสไตล์modern contemporary...พร้อมแล้วเชิญนั่งคะ...คุณผู้หญิงด้านซ้ายคุณผู้ชายด้านขวา...เราจะเริ่มเสริฟแล้วนะคะ...
Picture
โต๊ะถูกจัดอยู่ภายใต้สิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายโดมหน้าเปิดตกแต่งด้วยสีขาว ที่นั่งเป็นเบาะขาวรูปครึ่งวงกลมให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวเหมือนนั่งทานอาหารในบนก้อนเมฃจริงๆ
เริ่มต้นอุ่นเครื่องกันด้วยcocktailไร้แอลกอฮอลกับนำ้ลูกเสาวรสผสมนำ้ดอกกุหลาบ...สีส้มอมชมพูสดใสชวนมองที่ให้รสเปรี้ยวๆหวานๆเรีอกนำ้ย่อยกับแป้งกรอบโรยผักสมุนไพรปักมาในกระปุกงา...
จากนั้นก็เปิดกันด้วย "mise en bouche" (มิส ออง บูช)ที่มาด้วยกัน 3 mets (เมะท์) เริ่มต้นที่ซุปใสๆในรูปแบบเจลลาตินในถ้วยน้อยๆแบบจอกนำ้ชารสชาตินำ้ซุปไก่ตุ๋นบ้านเรานั้นแหละ ต่อมากับเต้าหู้หน่อไม้ฝรั่งให้รสหวานอ่อนๆและปิดท้ายด้วยวุ้นที่ได้มาจากการปั่นผักอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ใส่เข้าไปทั้งคำแล้วมันจะแตกออกให้ได้ลิ้มรสนำ้ซุปรสขมนิดๆแต่หวานมาก...
Picture
เมนูของเราวันนี้มาในconcept "terre et mer" (แต เอ แมร์) หรือก็คือแผ่นดินและผืนนำ้ทะเลนั้นเอง...ข้อดีของอาหารแบบgastronomyคือไม่ต้องเลือกอาหารว่าจะทานอะไร แต่จะตามใจอารมณ์ศิลปินของเชฟและก็จะเสริฟเหมือนกันยกโต๊ะ เรามีหน้าที่แค่เลือกจะเอาชุดเล็ก(4จาน) หรือชุดใหญ่(6จาน)พอ...และแน่นอนทานเองจ่ายเองก็จัดชุดใหญ่ไปไม่ต้องเกรงใจใคร😉

​เมนูของพวกเราวันนี้เริ่มด้วย "Oeuf mimosa" (เอิฟ มิ-โม-ซ่า) พอเห็นหน้าตาแอบมีผิดหวังนิดๆเพราะอันนี้มันเป็นอาหารพื้นๆฝรังเศสที่เอาไข่แดงต้มผสมกับมายองเนสเกลือแล้วก็ยัดมันกลับเข้าไปในหลุ่มเหมือนเดิม...แต่แน่นอนเชฟติดดาวคงไม่ทำอะไรที่มันง่ายขนาดนั้นมั้ง🤔 มันต้องมีเซอร์ไพรส์สิ(นี้แอบคิดในใจ) และก็แน่นอนหน้าตามันดูเหมือนไข่ต้ม? แต่มันไม่มีทั้งไข่ทั้งเนื้อคะ...มันคือการเอาหน่อไม้ฝรั่งสีขาวมาทำเป็นไข่ขาวส่วนมูสนั้นเป็นครีมของหน่อไม้ผสมถั่วงอกและเครื่องเทศสีเหลือง...รสชาติก็ออกหวานๆจืดๆให้เนื้อสัมผัสเย็นๆละมุนลิ้น สรุปหน้าตาธรรมดาแต่หลอกให้เราทานผักได้สนิทใจ...😜
จานถัดมาเป็นมูสหอยนางลมมากันแบบฟองมูสเต็มชามมองไม่เห็นอะไรเลยแต่พอตักลงไปจะได้พบกับเนื้อหอยนางโรม...จานนี้บีฟาดเรียบคนเดียว3ที่เลยเพราะทั้งคุณยายทั้งมาทิอาสชิมไป1คำเขาส่ายหัวกันดุกดิกเลย😁😁 รสชาติเป็นไง...ถ้าคนชอบหอยนางโรมดิบมันก็อร่อยนะสด คำโตมูสมันมีรสรมควันหน่อยๆแต่ถ้าคนไม่ชอบหอยนางโรมก็จะส่ายหัวเลย
จานต่อมาเรายังไม่จบกับอาหารทะเลมาในเมนูlobsterหรือกุ้งมังกร(เอาจริงๆกุ้งมังกรดูเหมือนเป็นจานพื้นฐานของร้านgastronomyเลย ไปที่ไหนมันต้องมีอยู่ในเมนูของทุกร้าน)มาแบบเป็นชิ้นคำโตๆเนื้อแน่นๆปรุงแบบแค่พอสุกแบบบา์บีคิวรมควันมาพร้อมซอสรสค่อนข้างเข้มค้นแถมมีมากิปลารมควันมา3คำตกแตกด้วยประการังทำมาจากหมึกดำ จานนี้หน้าตาเก๋ไก๋ได้ใจเราไปก่อนชิมแล้ว...ส่วนรสชาติไม่มีอะไรแปลกใหม่เพราะเขาเน้นชูความสดกรอบเด้งดึงของเนื้อกุ้งมังกรซึ่งกัดไปได้รสนั้นจริงๆแต่ที่surpriseเรานั้นคือซอสรมควันที่รสชาติเข้มค้นความเค็มนำหน้ามาเลย ปกติเวลาเสริฟกุ้งมังกรจะได้รสชาติซอสที่อ่อนหรือเปรี้ยวซ่าส์ แต่เชฟนี้มาแบบสวนทางแถมยังมีเนื้อปลารมควันที่มาด้วยอีกคือรสชาติเข้มมาเลย...รวมๆกันคืออร่อยอ่ะ😋
​ และก็มาต่อกันที่ภาคพื้นดิน กับเอกลักษณ์ฝรั่งเศสจ๋าด้วยพี่foie gras หรือตับห่านนั้นเองมาในรูปแบบเหมือนขนมที่ราดด้วยซอสราสเบอรรี่ ก็ธรรมดาไม่หวือหวาอีกแล้ว รู้สึกว่าเชฟเน้นความเรียบง่ายจริงๆ รสชาติก็อร่อยตามแบบฉบับตับห่าน...

Picture
คราวนี้เราก็มาถึงอาหารจานหลักแบบหนักๆกันแล้ว...ต่อกันที่เป็ดซอสราสเบอรรี่จ้า ตัวเนื้อเป็ดทอดมาแบบสุกกำลังพอดีที่เขาเรียกกันว่า rosé (โฮส-เซ่แปลว่าสีชมพู) คือดูว่าธรรมดาแต่การปรุงแบบblue, rosé...อะไรพวกนี้มันเป็นศิลปะการปรุงอาหารของคนฝรังเศสจริงๆมันไม่ง่ายเลย มีเรื่องไฟเรื่องเวลาและเทคนิค จานนี้ก็เหมือนเคยเน้นความเรียบง่ายแต่รสชาติดีอีกเหมือนเดิม (แต่คุณยายไม่โอเค เขาบอกสุกไม่พอ ส่วนมาทิอาสนั้นปกติก็ไม่ชอบเป็ด สรุปจานนี้บีชอบคนเดียว)
คราวนี้จานหลักแบบสุดท้ายจริงๆมาในหน้าตาที่บอกนี่มันป่าชัดๆ ซึ่งสมกับคำอธิบายต่อมาคือเชฟได้แรงบันดาลใจมาจากทหารโดดร่ม...จานเลยถูกตกแต่งมาในแบบทหารลายพลางสีเขียวดำเต็มจานเลย และแล้วพระเอกเห็ดทูฟของเราก็มาสักที (นี้ก็อีกอย่าง เห็ดนี้ต้องได้ขึ้นโต๊ะgastronomyกันอยู่รำ่ไป) คุณยายบอกในที่สุดเชฟก็หลุดออกจากconceptสไตล์เรียบง่ายมาเป็นอะไรที่ตกแต่งกันสักที😂😂จานนี้เป็นเนื้อย่างออกแนวญี่ปุ่น

Picture
Picture
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงของหวานกันสักที...(คุณยายดีใจจานสุดท้ายแล้ว...แต่ที่เขาไม่รู้คืออกจากนี้อีก2ช.ม.เราจะไปร้านนำ้ชาแบจัดเต็มกันต่อ...ทริป1วันกินกันอย่างเดียวจริงๆ) และเชฟก็ไม่ทำให้มาทิอาสผิดหวังเพราะเขาทำมาในรูปแบบปิ่นโตเบ็นโต๊ะ ที่มันไม่ธรรมดาคือจะเปิดมันต้องหมุนให้ตรงล็อคและเขาสามารถวาง3ที่พร้อมกันให้มีการจัดเรียงแบบเดียวกันเป๊ะทั้ง3ที่เลย (นี้แหละสิ่งที่เราชอบในร้านสไตล์นี้ มันไม่ใช่แค่อาหาร รสชาติ หน้าตาหรือวัตถุดิบแต่การบริการมันคือส่วนหนึ่งในการเพิ่มอรรถรสของการทานด้วย) และทีเด็ดต่อมาคือมี4อย่างให้เลือกจ้า...ไอติมนูก้า เมลโล่ราสเบอรรี ช็อกโกแล็ตไส้เสาวรส...และเราก็ปิดท้ายด้วยชากาน้อยๆส่วนชอกโกแล็ตนั้นเสร็จพี่มาทิอาสหมดเลยจ้า... โดยรวมๆสำหรับเราว่าokใช้ได้เลยทีเดียว อาหารอร่อยที่นั่งสบายบริการดีราคาสมเหตุสมผล ถ้าใครชอบสไตล์ฝรังเศสแนวร่วมสมัยในแบบผสมผสานมีกลิ่นอายเอเซียนิดๆ เราว่าที่นี้คือใช่...👌

ข้อมูลน่าสนใจ

  • Sur Mesure par Thierry Marx, 251 rue Saint -Honoré 75001 Paris อยู่ในโรงแรมแมดาริน
  • เปิด อังคาร - เสาร์ อาหารเที่ยงและค่ำ
  • ต้องจองล่วงหน้า (อย่าางน้อย 1 อาทิตย์ คือมันเต็มจริงๆ)
  • อาหารกลางวัน 85-120€/คน อาหารกลางคืน 195€/คน
  • เครื่องดื่มเฉลี่ยอยู่ที่ 15 - 30€/คน (แน่นอนwine list ก็แล้วแต่เกรดนะ)
  • เมนูต้องสั่งเหมือนกันทั้งโต๊ะ
2 Comments

Madame Pang : Cocktailsดี ติ่มซำเด่น เน้นchic & chill

5/2/2019

2 Comments

 

Madame Pang : Cocktailsดี ติ่มซำเด่น เน้นchic & chill

Picture
        ​อยู่Bordeauxแต่อยากหาที่นั่งดื่มcocktail เจ๋งๆที่มาพร้อมทั้งหน้าตา รสชาติและบรรยากาศ เสริฟกับกลับแกล้มที่ไม่ใช่สใตล์ฝรั่งก็ต้องที่นี่เลย Madame Pang, บาร์ติ่มในแบบชิคๆ ชิวๆ...อ๊ะๆ...เดี่ยวก่อนอย่าเพิ่งคิดว่าจะพามาทานแต่ขนมจีบ ซาลาเปาหรือฮาเก๋านะ (จริงๆเขาก็ขายนะ แต่ไม่ใช่ที่สุดที่เราจะแนะนำ) อาหารประเภทเนื้อๆเน้นๆจานน้อยๆมีให้เลือกเพียบ และทีเด็ดนอกจากจะเป็นอาหารจีนแนวฮ่องกงรสชาติเยี่ยมแล้วที่เด็ดสุดๆบอกเลยถ้ามาแล้วไม่สั่งพลาด! นั้นคือ Cocktails...แบบขอเติมSซ้อนSกันเลยทีเดียว เพราะรสชาติดีแทบทั้งลิสท์!..(เรายกให้เป็น Top 3 cocktail ของ Bordeaux เลย) ไม่ดื่มเหล้า?...ไม่มีปัญหาเพราะเขามีcocktailแบบไม่มีแอลกอฮอล์ด้วย (มั่นใจได้บรรยากาศไม่เป็นแบบขี้เหล้าเมายา...เพราะพาลูกไปประจำ) พร้อมแล้วไปกันเลย...
Picture
        เดินไปกลางๆซอยเราก็จะหยุดอยู่ที่ตึกกำแพงหินที่มีป้ายเล็กๆพื้นสีทองมีตัวอักษรจีนตัวเดียวสีแดงเขียนอยู่ คิดว่าเขาคงเขียนคำว่า Pang ที่เป็นชื่อร้าน ถ้าไม่สังเกตุให้ดีอาจไม่เห็นแต่ไม่ต้องกลัวจะหาไม่เจอนะเพราะมีโต๊ะและโซฟาแบบไม้สานตั้งทางด้านหน้าร้านและมันมักจะมีคนเป็นกลุ่มยืนออกันอยู่ข้างนอก ยืนทำไร? คือที่เต็มยืนรอคิวค่า... ด้านในร้านตกแต่งให้มีสีไฟแบบสลัวๆ มืดนิดๆ(แนวทึบๆทึมๆอีกแล้ว) มีโต๊ะกลมเล็กๆกับเก้าอี้กลมๆผ้ากำมะหยี่สีเขียวขนเป็ด มีส่วนที่เป็นเก้าอี้ทรงสูงเรียงกัน9ที่ตรงหน้าบาร์ มีมุมซ้ายมือติดทางเข้าเป็นโต๊ะเตี้ยขอบทองกับโซฟาแบบเรียงต่อกันเป็นสี่เหจตุรัสแบบเปิด 1ด้าน คือมุมนี้สวยสุดใครๆก็จะแย่งกันมุมนี้ แต่เราไม่แนะนำอย่างแรง...อย่าหลงไปยื้อแย่งกับเขาเชียว เพราะมันสวย แต่นั่งไม่สบายเลย ขาเราจะไปติดกับโต๊ะ ถ้าหน้าหนาวมันติดหน้าต่างมีลมเข้าอีก ที่ๆดีสุดถ้ามากันไม่เกิน3คนคือตรงบาร์นั้นแหละ ถ้าไม่งั้นก็ขอไปนั่งด้านในถัดจากบาร์ไปเลย ถ้าส่วนข้างนอกพอสักหน่อยจะมีคนมายืนต่อกันดูไม่สงบสุขสักเท่าไหร่ที่ก็ติดกัน แต่ก็พอนั่งได้สบายนะ ถ้าคุณไม่สามารถไปถึงตั้งแต่ตอนร้านเปิดประมาณทุ่มหรื่อทุ่ม15 ก็ให้ไปหลัง3ทุ่มครึ่งไปเลยเพราะไม่งั้นยืนร้องเพลงรอกันยาวไปจ้า...(เขาไม่รับจองนะ)... ดูจะได้ชิมยากเนอะ? แต่มันคู่ควรกับการรอนะ...

เมนูบีแนะนำ : 

        หลังจากฝ่าฟันได้ที่นั่งมาแล้ว ลิสท์เขามียาวพอควรจริงๆหลับตาสั่งได้เลยร้านนี้อร่อยแทบทุกอย่าง แต่ถ้าต้องเลือกนี่คือจานที่เอาใครไปเลี้ยงทุกคนบอกตรงกันว่าอร่อย...
  • Char siu bao: มันคือซาลาเปาไส้หมูแดง เนื้อแป้งขาวๆนุ่มๆ เด้งนิดๆ ก้อนเล็กขนาดเท่ามือเด็กเสริฟร้อนๆพร้อมกัน2ลูกมาในตระกร้าติ่มซำ อร่อยแบบไหน? ถ้าชอบซาลาไส้หมูแดงของ7-11มันอารมณ์เดียวกันแต่หมูจะเค็มกว่านิดแต่แป้งนิ่มกว่ามาก 2ลูกมาในราคา8€ อร่อยแบบสั่งทุกครั้งที่ไป มีขอซื้อกลับบ้านด้วย (ปกติไม่มีบริการซื้อกลับบ้านนะ แต่ไปบ่อยจนเขาจำได้ก็เลยจัดให้)
  • Nems de canard : ปอเปี๊ยะเป็ดกับซอสตับเป็ด มันคือดีงามมาก ตัวปอเปี๊ยะแป้งบางกรอบ ไส้เน้นๆเต็มคำด้วยเนื้อเป็ดแต่ที่เด็ดคือซอสที่ทำมาจากตับเป็ด เค็มๆเหลี่ยนนิดๆหวานหน่อยๆคือถ้าได้ลองแล้วหยุดไม่ได้เลยจริงๆ! 1จานมี3-4ชิ้น อันนี้จะอยู่ในหมวดextraมาในราคา 10€
  • Satey : ไก่สะเต๊ะนั้นเองแต่รสชาติไม่เหมือนของไทยเท่าไหรเพราะจะเป็นเนื้อหน้าอกไม่ติดมันหมักในเครื่องเทศสีเหลืองๆ(ดูเหมือนผงกะหรี่ แต่รสชาติมันอ่อนกว่านิดแต่ได้กลิ่นฉุนกว่าหน่อย) เสริฟพร้อมกับซอสถั่วป่น หวานเค็มมันแต่ไม่มีรสชาติกระทิแต่อย่างใด 2 ไม้ 6€
  • Cochon sweet & sour : หมูผัดเปรี้ยวหวาน รสชาติเข้มข้นเนื้อเน้นๆ หมูชิ้นพอดีคำทอดแข็งนิด(รู้สึกเหมือนหมูเค็มตรุษจีนแม่เราเลยแต่ไม่มีมัน) ผัดมาในซอสหวานๆเปรี้ยวๆเหมือนน้ำยำปลา3กรอบ มาในถ้วยเล็กแต่อิ่มพอได้ 10€
  • 5. Humou Thaï : ข้าวเกรียบกุ้งทอดกับซอสแบบเผ็ดนิดๆ รสซ่าส์ๆแบบน่าจะใส่เครื่องเทศไทยลงไป เอาจริงๆก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น แต่มันได้ปริมาณเยอะและเหมาะกับการมาหลายๆคนให้รู้สึกเป็นอะไรที่แชร์กันได้จริง(อันอื่นๆคือค่อนข้างเล็กเป็นแบบชิ้นพอดีคำมาแบบ2-3ชิ้น แชร์กันดูจะลำบาก)
        สำหรับเครื่องดื่มอย่างที่บอกมันคือร้านที่มีbartenderจริง ชงเครื่องดื่มและตกแต่งออกมาเป็นcocktail แบบรสชาติดี หน้าตาสวยถ่ายรูปเก๋ ถ้านั่งตรงบาร์ก็จะได้ดูเวลาเขาชงดูมีลีลาดีไปอีก...
​       
จริงๆcocktail สั่งได้ตามที่ชอบเลยราคาอยู่ในเลท 12-14€ และ 8-9€สำหรับแบบไม่มีเหล้า ในแต่ละอันเขาจะบอกว่าใส่อะไรบ้างรสชาติออกแนวไหน เลือกกันตามอัธยาศัยเลย เขามีเบียร์กับไวน์ด้วยแต่ไม่ค่อยแนะนำ แต่ที่ห้ามสั่งเลยสำหรับเครื่องดื่มคือชาเพราะมันมาในกาจิ๋วแบบที่เด็กเอาไว้เล่นขายของแบบรินได้2จอก(ขนาดแบบถ้วยไหว้จ้าวที่มีจานขนาดเท่าฝ่ามือคนตัวเล็กและผอมมากแต่ใส่แก้วนำ้ชาได้5ถ้วย!) นอกจากปริมาณน้อยถ้าชาเลิศเราจะอภัยแต่นี้ชาธรรมดามากแต่ราคากดไป8€! 
  • Favorite Madame Pang : มันคือแชมเปญผสมน้ำลิ้นจี่มีไข่ขาวด้วย อันนี้คือsignatureของร้าน จริงๆก็คงอร่อยแต่เรานั้นสั่งหนเดียวขอผ่านเพราะรู้สึกว่าได้รสชาติหวานของลิ้นจี่นำและมีความคาวนิดๆของไข่ขาว ส่วนรสแชมเปญนั้นถูกกลบไปแล้วเหลือไว้คือความซ่า (ปกติก็ไม่ใช่แฟนแชมเปญขาวกับไวน์ขาวอยู่แล้ว) แก้วนี้ราคา14€ แพงสุดในร้าน​
  • ส่วนอันที่ชอบที่สุดจำชื่อไม่ได้ จำแต่ว่ามันใส่ชาเขียว อันนี้จะเสริฟ์มาในแก้วชาสีเขียว รสชาตินุ่มๆแต่เมากันจริงจัง😂😂 กับอีกอันจะอยู่ท้ายๆลิสท์ที่ใส่ลูกเสาวรส อันนี้ออกเปรี้ยวชื่นใจเหล้าไม่เข้มเท่าไหร่
        ทั้งหมดทั้งมวลMadame Pangเหมาะกับการดื่มcocktail ชิมอาหารแบบจุ๊บๆจิ๊บๆแต่เป็นชิ้นเป็นอันและเน้นอร่อย ให้อารมณ์นั่งจิบเครื่องดื่มและเม้ามอยเพลินๆกับthe gang ในบรรยากาศแบบสบายๆออกแนวชิคๆตอนคำ่ได้เป็นอย่างดี

ข้อควรรู้

  • Madame Pang : 16 rue de la Devise , เปิดอังคาร - เสาร์ 19.00 -02.00น.
  • ร้านไม่มีจอง
  • ราคาอาหารอยู่ที่ 6-10€/อย่าง
  • เครื่องดื่ม 8-14€
  • ราคาเฉลี่ย 25-30€/คน
2 Comments

Tamatebako : ร้านนำ้ชาคุณภาพทะลักกา

3/22/2019

0 Comments

 

Tamatebako : ร้านน้ำชาคุณภาพทะลักกา

Picture
ร้านน้ำชาTamatebako
        วันนี้เราจะไปร้านนำ้ชาขนาดกลางๆ แต่คุณภาพทะลักกา ล้นแก้ว ถึงขั้นเจ่อนองออกมาเลยทีเดียว... อะไรขนาดนั้น? ไม่ได้เวอร์นะ แต่มันเป็นร้านที่ดีที่สุดที่ครบเครื่องเรื่องเครื่องดื่มประเภทชา ชาสมุนไพร และกาแฟ เป็นร้านอันดับหนึ่งในใจเราเลย(แบบรวมทุกที่ที่ไปมา) เป็นร้านที่ไปบ่อยสุด ชาดีมีให้เลือกมากสุดและเป็นร้านแรกที่เราใช้เวลามากกว่า1ปีเพื่อชิมชาเขียว ขาว และชาสมุนไพรให้ครบทุกอัน...อยากไปยัง? พร้อมแล้วไปกัน...จุดหมายปลายทางเราคือร้าน Tamatebako (ขอสารภาพ เราไม่เคยจำชื่อเธอเต็มๆได้เลย จำแต่ที่อยู่แบบถ้าอยากดื่มชาเลิศ หลับตาแล้วขาก็จะพาเดินมาที่นี้เองอ่ะ) ร้านตั้งอยู่ตอนต้นของถนนแห่งความสำราญที่มาบรรจบพบกันระหว่างสายชิมขนมและจิบชายามบ่ายกับชาวประชานักสังสรรค์ยามเย็นที่ถนน « rue saint james ( ฮรู ซั้น เจมส์) »ใกล้ๆประตูเมืองระฆังยักษ์ ของ Bordeaux
       
        ก่อนชิมชาเราชิมบรรยากาศก่อนนะ
…ร้านตกแต่งด้วยสีทึมๆ (เอาจริงๆ คนฝรั่งเศสชอบสใตล์ทึบๆทึมๆ ที่เขาเรียกกันว่าMélancolie) ก้าวเข้าไปในร้านบริหารร่างกายเบาๆด้วยการแหงนหน้าเพื่อจะพบเพดานวาดแบบกากบาทสีเทาควันบุหรี่ตัดกับสีขาว มองตรงเห็นเก้าอี้โต๊ะที่เป็นไม้สีธรรมชาติ(อย่าหวังว่าจะได้เบาะนุ่มๆนั่งสบายนะ เรามาเพื่อชาคะ55 อยากสบายหน่อยก็เลือกนั่งเก้าอี้หวายจ้า) คราวนี้หมุนคอไปขวานิดจะพบกับกล่องไม้สีอ่อนมีเลขเรียงรายอยู่เต็มกำแพง มันคือกล่องใส่ชาและสมุนไพรกับกาแฟ ด้านหน้ามีโต๊ะไม้ยาวที่ทำเป็นเคาเตอร์ไว้วางขนมและเครื่องชงกาแฟ ส่วนกำแพงอีกด้านคือผนังหินให้เห็นกันแบบเปลือยๆได้ความเก๋ไปอีก(ไม่เปลืองสี😂😂)... ทั้งหมดทั้งมวลให้บรรยากาศเรียบง่ายแบบสบายๆสไตล์ธรรมชาติแต่ยกเว้นเพดานที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุคของการเริ่มต้นโรงงานอุตสาหกรรม…

Picture
        คราวนี้ก็ได้เวลาเลือกเครื่องดื่มจ้า บอกเลยเมนูเธอไม่ธรรมดานะ แต่ละรายการจะเป็นวันสำคัญที่มีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำ แค่ใช้เวลาอ่านเมนูกระดาษa4 ที่ตัวอักษรพิมพ์ขนาด8-9 ก็ได้ความรู้ทั่วไปติดตัวกลับมาด้วย(แต่เราไม่เคยจำ แค่ชื่อร้านก็ลำบากแหละ😜) สั่งอะไรดี? เขามีทุกอย่างแหละ ชาขาว ชาเขียว ชาแดง ชาดำ ชาผสม จะญี่ปุ่นหรือจีน แอฟริกา บาหลีหรือพี่ไทยเขาก็มีทั้งนั้น 200กว่าชนิดมันต้องถูกใจกันบ้างสิ (เข้าใจยังทำไมเราใช้เวลากว่าปีในการชิม …ค่ะดิฉันชิมมันทั้งหมดตั้งแต่อันแรกยันรายการสุดท้าย ยกเว้นชาดำกับกาแฟ) แต่ที่แนะนำที่สุดและทำให้ร้านนี้ครองอันดับ1ในใจเราคือ เขากล้าที่จะเอาชาที่เรียกว่าgrand cru แบบสุดยอดของสุดยอดมาชงเป็นกาให้คุณดื่มจ้า มันไม่ใช่แค่ให้เลือกแบบ3-4อย่าง(คือร้านทั่วไปไม่กล้าแม้จะเอามาขึ้นลิสท์ให้ชิมด้วยซำ้) อย่างเราสายเขียวญี่ปุ่นก็จัด gyokuroไปคะ แค่ชนิดนี้ก็มีให้เลือกวนไป8อันแล้ว ไม่รวมชาประเภทอื่นๆ อ้อชาส่วนใหญ่เกือบ 95% เป็นแบบorganicหรือปลอดสารพิษ แต่ที่มากกว่าชนิดและคุณภาพของชาคือ คุณรู้สึกได้ถึงความใส่ใจถึงความรักที่เจ้าของสองตายายส่งถึงเวลาเสริฟชาให้ ชาแต่ละชนิดจะมาในกาเหล็ก(แอบหนักไปนิด) ด้วยอุณหภูมินำ้ที่เหมาะสมกับชานั้นๆ มีนาฬิกาดิจิตอลเพื่อจับเวลาและในเซ็ทจะมีจานเล็กเพิ่มมาให้อีก1ใบเพื่อเอาไว้ใส่กากชาหลังจากทิ้งไว้ตามเวลาที่บอก และที่ขาดไม่ได้ขวดน้ำเปล่าอีก1ที่… หลังจากนั้นก็เชิญดื่มด่ำกับสุทรียภาพและอรรถรสแห่งชา… อ้อสิ่งที่ควรรู้อีกอย่างนะ ที่นี้เขามาเพื่อเครื่องดื่มแต่ไม่อนุญาติให้ทำงาน ไม่มีหน้าจอ คอมพิวเตอร์หรือนัดเพื่อนมาทำงานกลุ่มกันนะคะ มิฉะนั้นเชิญออกจ้า แต่อนุญาติให้อ่านหนังสือ พูดถึงแต่ชา เขามีขนมให้เลือกด้วยนะ เป็นขนมสไตล์homemade อารมณ์ขนมคุณยายจริงๆ(ชาอร่อยมาก แต่ขนมไม่สุดเท่าไหร่แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ชิ้นแอบบางความอร่อยค่อนข้างเจือจางแต่ราคาดันจัดเต็ม!)

เมนูบีแนะนำ
  • Gyokuro « rosée précieuse » สายชาเขียวสุดพรีเมียมในรสชาติสุดละมุน กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกหวานนิดๆ ฝาดน้อยที่สุด ดื่มง่ายที่สุด มาในราคา 8.90€ /กา
  • Sencha Ujitawara : มันคือชาเขียวSencha เกรดsuper premium ที่เป็น organic สีสวย สายชอบชาเขียวรสเข้มๆ แบบขมๆสะใจอันนี้จัดไปเลย 10.90€/กา
  • Cérémonial Matcha : ชาเขียวผงที่ถูกตีจนขึ้นฟองเป็นมูส สีสวยๆ กลิ่นแน่นๆ ถูกเสริฟมาในถ้วยใบใหญ่ๆคือได้รสชาติของMatchaเต็มๆ มาทั้งทีก็จัดไป 6.90€/แก้ว
  • Sakura pur inumi : ชาดอกซากุระ คือกลิ่นอ่ะได้ใจเลย ให้อารมณ์เหมือนจิบชาใต้ต้นซากุระ รสชาตินั้นก็กลางๆ แต่ที่แนะนำเพราะมันหายาก! อันนี้ต้องไปให้ถูกฤดูนะจ๊ะ ไม่งั้นอด 1ปีมีให้ชิมไม่เกิน3เดือน เป็นช่วงปลายๆฤดูใบไม้ผลิ(คือต้องรอซากุระบานแล้วบวกระยะเวลาจัดส่งด้วย)
  • ขนมเค้กเนยกับเอาล์มอนต์ : ขนมเค้กเนื้อละเอียดสีเหลืองนวล ให้กลิ่นหอมของถั่วเอาล์มอนต์คั่ว รสนุ่มเนื้อละมุนไม่หวานมากเข้ากับชาได้เกือบทุกประเภท (คือรสชาติดีสุดในบรรดาขนมที่มี ไม่งั้นก็เค้กที่มีโชคโกเล็ตไป) 4.90€/ชิ้น​
         
​        ชิมแล้วชอบ รักถูกใจ
ซื้อกลับบ้านได้ด้วยยกเว้นพวกสุดยอดแห่งชาทั้งหลายเพราะเขาบอกว่ามันมีนิดเดียวพวก gyokuro ทั้งหลายมาชิมที่ร้านอย่างเดียวจ้า…นอกจากนี้ชาสมุนไพรก็ดีอันนซื้อกลับบ้านได้เต็มที่ เขาจะใส่ในกล่องพลาสติกที่ใส่ในกล่องกระดาษที่พับสวยงามสไตล์ญี่ปุ่นเพิ่มมูลค่าไปอีก (แต่ก็ควรอยู่เพราะราคาชาเธอนั้นถือว่าสูงใช้ได้เลย แต่บอกเลยคุณจะไม่เสียดายตังค์เลยจริงๆ) กาแฟที่นี้เขาก็มีให้เลือกเหมือนกันนะ ตัวเลือกก็ครบครัน สำหรับคนไม่นิยมชาไม่ชอบกาแฟและก็ไม่โอกับชาสมุนไพรแต่อยากไปกับเพื่อนสั่งสมูทตี้หรือช็อคโกแล็ตมาทานกับขนมก็ได้อยู่นะ

        โดยรวมๆTamatebako คือร้านที่ดีที่สุด ครบเครื่องที่สุดในเรื่องของชา เป็นร้านที่มีชาระดับสุดยอดพรีเมียมให้เลือกชิมมากสุด ถึงแม้โดยรวมราคาที่ขายเป็นกาจะจัดว่าอยู่ในราคาที่สูงคือ2-3เท่าของร้านทั่วไป แต่บอกเลยเขาเอาชากิโลหลักพันยูโรมาเสนอให้คุณชิมและมีให้เลือกแบบอุดมสมบูรณ์ ถ้าคุณเป็นพวกรักนักชิมชาสามารถคุยกับเจ้าของได้เลย ที่นี่เป็นร้านนำ้ชาที่นำเสนอชาคุณภาพโดยผู้หลงใหลในชาตัวจริง
ข้อมูลควรรู้
  • Tamatebako, 32 Rue Saint-James Bordeaux
  • Open พุธ-อาทิตย์ 14.00-19.00
  • ราคานำ้ชา 5.90-12.90€/กา, ขนม 4.90-5€/ชิ้น
  • ห้ามทำงาน หน้าจอ คอม...
0 Comments

Mariage Frères : ผู้นำด้านศาสตร์แห่งการผสมชาแบบฝรั่งเศส

3/8/2019

0 Comments

 

Salon de thé : Mariage Frères (le Marais) Paris : ดื่มชาแบบฝรั่งเศส

Picture
Salon du thé : Mariage Frères Paris
        มาปารีสนอกจากฝ่าฝูงชนไปจ้องตาMonalisa แอ็คท่าแชะรูปสุดเจ๊งกับ « La dame de fer »ที่Tour Eiffel เดินทอดน่องชมสวนที่Le Jardin du Luxembourg นั่งเรือร่องแม่น้ำSeine...และอีกมากมายที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน ซึ่งข้อมูลแบบนี้ถามพี่googleก็ได้ แต่วันนี้เราจะชวนคุณปลดเป้นักท่องเที่ยว หันมาสวมรองเท้าทำตัวเป็นชาวปารีสแล้วไปจิบชา ทานอาหาร และชิมขนมในแบบฉบับTeatime สไตล์ฝรั่งเศสชิวๆในตอกเล็กๆย่าน Le Marais ซึ่งเป็นร้านต้นกำเนิดของแบรนด์ระดับตำนานที่ครบเครื่องเรื่องชามีสาขาอยู่ทั่วโลกอย่าง Mariage Frères : ผู้นำด้านศาสตร์แห่งการผสมชาแบบฝรั่งเศส แบรนด์เก่าแก่มากที่ก่อตั้งตั้งแต่1854! จริงๆสาขาอื่นก็มีนะแต่เราเจาะจงว่าต้องสาขานี้เพราะเป็นบ้านแม่ที่อยู่มาตั้งแต่ก่อตั้ง และที่สำคัญมันให้บรรยากาศย้อนยุคเล็กๆที่ที่อื่นไม่มี...เล่ามาซะขนาดนี้แล้ว อยากไปกันหรือยัง? 🤔(คนเขียนนำ้ชาหมดไปแก้วแล้ว55) พร้อมแล้วใส่รองเท้าไปกันเลย
        เมื่อเดินมาเกือบสุดปลายทางของตอกเล็กๆ จะพบกับร้านที่ด้านนอกตกแต่งด้วยไม้ให้ความรู้สึกโบราณนิดๆ อึมครึมหน่อยๆ ดูทึมๆทึบๆ เอาจริงๆดูภายนอกไม่ดึงดูดใจให้เข้าสักเท่าไหร่ แต่ยังดีที่มีกระจกสามารถมองเห็นกระปุกชาเรียงรายอยู่ด้านในทำให้อุ่นใจว่ามาถูกที่เขามีชาแน่ๆ
        พอเดินเข้าไปด้านใน จะเห็นกระปุก กระป๋อง หีบห่อและกล่องชาในรูปแบบต่างๆขนาดซื้อกลับบ้านได้สะดวกอยู่ซ้าย ในขณะที่มุมด้านขวานั้นจะมีตู้กระจกเล็กๆที่วางตัวอย่างกาและชุดเครื่องเงินสำหรับชงชาไว้เพื่อขาย ถ้าเดินลึกเข้าไปด้านขวาอีกหน่อยเราจะได้พบกับกำแพงตู้ไม้สูงจากพื้นจรดเพดานที่มีกระป๋องชาขนาดใหญ่เป็นสิบจัดเรียงเป็นตับ ส่วนด้านหน้าถูกคั่นด้วยเคาเตอร์ยาวที่ทำจากไม้เช่นกัน เพื่อเพิ่มบรรยากาศแห่งการย้อนยุคเราจะได้พบกับตาชั่งรุ่นเดอะแบบ2ถาด ให้อารมณ์ร้านขายยาจีนมากเลย ตรงนี้แหละที่เราสามารถเลือกซื้อชาแบบตักแบ่งขายเป็นขีดได้ แต่มุมนี้ค่อยสนใจตอนก่อนกลับก็ได้นะเพราะมีของให้น่าเสียตังค์อยู่หลายอย่าง
มุมที่เราสนใจและตั้งใจมาชิมอยู่มุมหลังสุดของร้านที่เปิดเป็น salon de thé (ซาโลง เดอ เต) นำเสนออาหาร ขนมทุกอย่างที่มีส่วนประกอบของชา ขนาดเกลือยังมีMachaเครื่องปรุงรสก็ผสมชาเขียว และแน่นอนค่ะ เครื่องดื่มก็เสริฟชาจ้า จะชาเขียว ขาว เหลือง แดง ฟ้า ดำหรือกลิ่นผสมก็เชิญเลือกเลยจาก650อย่าง จะร้อนเย็นก็ว่ากันไปมันต้องมีที่เหมาะกับคุณสักอย่างอ่ะ ส่วนอาหารนั้นจะสั่งแบบทานเล่นเอาขนมหวานแบบเบาๆที่มีตั้งแต่แบบพื้นๆอย่างmadeleine (ขนมไข่) จนถึงขนมที่ดูประดิษฐ์ประดอยรูปร่างหน้าตาสวยงาม หรือจะเน้นอาหารคาวที่เป็นอาหารแบบbistroสไตล์ฝรังเศสก็ตามอัธยาศัย แต่ถ้าเป็นพวกรักพี่เสียดายน้องก็จัดไปทั้งคาวและหวานเมนู Afternoon tea ที่ครบจบใน1เมนู (คือเราจัดอยู่ประเภทนี้😋) แต่ไม่ว่าจะเมนูไหนทุกอันจะมีส่วนผสมหรือกลิ่นของชาที่เขาขายอยู่ในทุกเมนู
ร้านนี้เมนู(บี)แนะนำ :
  • 1.เมนู Afternoon tea « Caprice de gouverneur » :อันนี้คือเมนูขึ้นชื่อของร้าน setนี้จะได้ croque monsieur ที่เป็นแซนวิชขนมปังมีไส้เป็นปลาซอลมอนรมควันเพิ่มความพิเศษด้วยขนมปังชาเขียวกับขมิ้น เครื่องเคียงเป็นสลัดผักกับซอสใส ในเซ็ทเมนูนี้คุณจะได้เลือกขนมหวานจากชั้น1ชิ้นและชาได้1อย่างตามลิส ชาร้อนจะเสริฟในกาขนาดประมาณ75ml แบบพร้อมดื่มที่ชงเสร็จโดยเคารพระยะเวลาและอุณหภูมิของน้ำตามศาสตร์แห่งชา ส่วนชาเย็นจะมาแบบแก้วเดี่ยว(ไม่มีเติมนะจ๊ะ) แต่ถ้าจะเอาชาแบบพิเศษสุดก็ได้แต่ต้องเพิ่มเงินนิดหน่อย เขาจะเขียนไว้ที่ท้ายชาเพิ่มตั้งแต่2-10€แล้วแต่ชา ทั้งเซ็ตอาหารคาว+ขนมหวาน+ชามาในราคา 36€
  • 2. เมนู « Louvre » set นี้คุณจะได้อาหารคาวที่ทำมาจากไก่หมัก(อะไรจำไม่ได้)ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวหน่อยๆใส่มาบนทาร์ตขนมปังเสริฟมากับข้าวสีดำปรุงรสเค็มๆมันๆ (คือจริงๆอันนี้แนะนำสุด เราชอบมากสุด) แล้วคุณก็เลือกขนมกับชาตามชอบใจเหมือนอันแรก เซ็ทนี้มาในราคา 34€
  • 3. ชา “Marco Polo” จริงๆชานี้แล้วแต่ความชอบเลย แต่ที่ขึ้นชื่อจริงๆต้องบอกเลยว่าเขาทำชาที่มีการปรุงแต่งกลิ่นได้ดีเยี่ยม ชาที่ถือว่าเป็นthe must เป็นเอกลักษณ์พอพูดถึงMariage Frère คุณต้องนึกถึง « Marco polo” และตำรับoriginalเลยก็ต้องเป็นแบบชาดำ กลิ่นจะออกแนวสดชื่นของผลไม้ที่ผสมกับความอบอวลของกลิ่นดอกไม้ที่ออกแนวลึกลับน่าค้นหา... ส่วนรสชาตินั้นเข้มถึงใจ ออกฟาดนิดๆ เผ็ดซ่าหน่อยๆได้รสอมเปรี้ยวบางๆ คนที่ชอบดื่มชารสแก่ๆแบบมีเอกลักษณ์มากๆน่าจะถูกใจ ในกลิ่นเดียวกันเขามีแบบชาเขียวกับชาฟ้าด้วยแต่รสชาติมันห่างกันมากมายไม่แนะนำจริงๆ (เราไม่ชอบชาดำ และเป็นสายชาเขียว ชาขาวรสธรรมชาติมากกว่าชาที่ผสมหลายๆอย่าง เราเลยมาที่นี้เพื่ออาหารและซื้อฝากเสียมากว่า คือที่นี้concept ดีมีชาให้เลือกหลากหลายมากแต่ไม่ใช่ที่สุดของชาในแบบที่เราชอบดื่ม แต่ทุกครั้งที่มาปารีสก็แวะนะเพราะซื้อแยมชา)
  • 4. แยมกับคุกกี้กลิ่นชา...อันนี้เขาไม่เสริฟที่ร้านแต่บอกเลยถ้าคุณหาของฝาก มันคือตัวเลือกที่ดีมาก (แทบจะเป็นของฝากตัวช่วยของเราเลย หาซื้อยากแต่อร่อยมาก จริงๆเราว่าอร่อยกว่าชาเขาเสียอีก😉 เวลาเอาไปให้ใครก็ดูoriginal ดี) ราคาก็น่ารักมาก แยม 8€ คุกกี้กล่องละ5-6€(ไม่แน่ใจแต่ราคาราวนี้แหละ กลิ่นซากุระอร่อยสุด)
        อาหารถ้าไม่สั่งเป็นเซ็ต ก็สั่งแยกเป็นจานได้ เมนูจะมีให้เลือกมากกว่าแล้วแต่seasonและปริมาณอาหารที่ได้ก็เยอะกว่าแบบเซ็ท ราคาอยู่ที่ 22-28€/จาน สำหรับขนมหวานราคา 3.90-5.9
Picture
        ส่วนบรรยากาศและโต๊ะนั้นไม่มีความอึมครึมเหมือนส่วนที่มีไว้ขายของเลย โต๊ะปูด้วยผ้าขาวเนื้อดีที่ดูสะอาดตากับเก้าอี้หวาย(ขนาดแค่พอนั่ง) ด้วยที่ที่ค่อนข้างแคบโต๊ะก็เลยถูกจัดให้ชิดกันมากแบบขยับลำบากเลย บริกรก็จะมาในชุดสูตรย้อนยุคสีขาวเหมือนทหารเฝ้าป้อมวัดพระแก้วเลย(ถ้าให้หมวกหน่อยมันจะใช่เลย)มีดนตรีคลาสสิคขับกล่อมเพิ่มบรรยากาศเบาๆ เมื่อเริ่มนั่งเราจะได้เมนูและหนังสือเกี่ยวกับชาให้อ่านเล่น1เล่ม ถ้าถูกใจซื้อกลับบ้านได้
       โดยรวมเป็นร้านหนึ่งที่สาวกสายนักดื่มชาแบบรักซึมลึกเข้าเส้นเลือดเรื่องห้ามพลาด เป็นร้านน่าแวะสำหรับคนที่อยากจะลิ้มลองประสบการณ์ศิลปะแห่งการทำชาของฝรั่งเศส ถ้าถามอาหารอร่อยขนาดไหน เอาจริงๆกลางๆแต่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง กิจการหลักของแบรนด์ก็ยังเป็นการขายชาแต่ร้านอาหารหรือsalon du théเป็นแค่ส่วนเติมเต็มเท่านั้น ในส่วนของราคาอาหรถือว่าอยู่ในเกณฑ์ราคาดีมากเมื่อเทียบกับคุณภาพและบริการรวมถึงปริมาณ ส่วนชาเป็นที่สุดของที่สุดไหม ถ้าคุณมองหาชาในเกรดพรีเมียมและชอบแนวชากลิ่นดอกไม้ ผลไม้แบบที่มีการผสมมากกว่าแบบธรรมชาติpureอันนี้คือ1ในแบรนด์ ระดับTop แต่ถ้าเป็นสายชาเขียว ขาวธรรมชาติเขาก็มีนะแต่ไม่ใช่ที่สุดสำหรับเรา เอาง่ายๆถ้าชอบชาดำ ชาผสมปรุงแต่งกลิ่นหลับตาซื้อเลยรับรองไม่ผิดหวัง แต่ถ้าแนวชาpureพอได้แต่ไม่สุด! อ้าว...ทำไมยังแนะนำรั่วให้มา? เพราะที่นี้ทำให้รู้สึกว่าชาไม่ได้มีไว้แค่ให้ดื่ม แต่มีไว้ให้กิน ดม ชม และหรือถือกลับบ้านเป็นของฝากก็เก๋ไปอีก โดยส่วนตัวเรามองว่ามันไม่ใช่แค่conceptที่ทำมาเพื่อช่วยขายชาเขา แต่มันคือวิถีแห่งการดำรงอยู่ เผยแพร่ ถ่ายทอดและทำให้ศิลปะแห่งชาเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น (เราถึงมาบ่อยทั้งที่ไม่ได้เป็นแฟนชาแบรนด์นี้สักเท่าไหร่)

รักนะเลยบอกให้
  • Mariage Frères, 35 rue du Bourg Tibourg Paris (สาขาอื่นก็มีใกล้หอไอเฟลก็มี)
  • ราคาอาหารเป็นราคากลางๆ
  • ชาสามารถซื้อเป็นขีดได้ราคาแล้วแต่ชนิดชา (เรทจัดว่าราคาสูงอยู่)
  • ตัวเลือกหนึ่งของการเป็นของฝากด้วยรูปลักษณ์ของหีบห่อ
  • จริงๆแยมชาที่ทำออกมาในรูปของgeléอันนี้แนะนำสุดๆ
  • ชา Macro Poloต้องเป็นแบบชาดำดีที่สุด(แนะแบบเป็นกระป๋องมากว่าแบบถุงชาสำเร็จ)
  • ราคาเฉลี่ยอาหารขนมและชา 35€/คน ขนม+ชา 16€
  • เขามีคอร์สสอนชิมชาด้วยนะแต่ต้องจองล่วงหน้าดูปฏิทินที่เว็บได้เลย

        คนเขียนเป็นประเภทชอบจิบชาชมบรรยากาศเราถึงชอบไปร้านน้ำชา แต่ชาที่ชอบจริงๆคือชาเขียวญี่ปุ่นรสชาติละมุนแบบGyokuroหรือชาขาวจีนผู่เอ๋อร์แต่จริงๆชอบpai mu tanแต่มันหายาก แล้วคุณล่ะรู้ไหมว่าตัวเองชอบชาแบบไหน? ดื่มชาเพราะชาหรือเพราะอะไร...คอมเมนท์มาแบ่งปันกันได้นะ...



0 Comments

Disneyland Paris : ทริปกรี๊ดกระจายสไตล์ Mickey 2วัน 1 คืน

3/3/2019

1 Comment

 

Disney Parc + Disney Studio + Disney village โซนไหนก็ไปกัน

Picture
ทริปนี้เราไปผจญภัยกันที่Disneyland Paris กับมาทิอาสเด็กน้อย6ขวบที่ไม่ค่อยรู้จักตัวการ์ตูนDisneyสักเท่าไร(สมัยนี้เด็กชายรู้จักแต่lego กับ Ninjago) และเราก็ทำทริปแบบ 2วัน1คืน เล่น กิน นอนค้างที่Disneyกันไปเลย
เที่ยวDisneyland มันไม่จบแค่ตอนสวนสนุกปิด ทริปนี้เป็นทริปที่แม่กับลูกอึดพอควรเลยเพราะเราเริ่มกันตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นจนกระทั้งตะวันตกทำความเคารพกับพระจันทร์ที่มาแทนและเกือบจะได้พบกันอีกรอบ มาทิอาสกับแม่นั้นก็ยังอยู่ Disney village ที่เปิดมันยันเที่ยงคืน (ปกติไปเที่ยวกับมาทิอาสไม่5ทุ่มเธอไม่นอน) เราพยายามจะเขียนบรรยายละเอียดพอควรเพื่อจะได้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวอยู่ขณะที่อ่าน บทความนี้ยาวหน่อยซึ่งจะแบ่งเป็น 4 ตอนย่อยๆตามโซนเพื่อความสะดวกในการอ่าน ค่อยๆแบ่งอ่านตามหัวข้อก็ได้หรืออาจจะรวดเดียวอันนี้คงต้องจิบชาหลายแก้วหน่อยกว่าจะอ่านจบ😉
คำเตือน : กรุณาเตรียมตัว เตรียมใจ ตับไตไส้พุงของท่านให้พร้อมเพราะอาจมีแรงกดอากาศและใจหวิวๆเป็นพักๆ แต่ก่อนอื่นนั้นสายตากับเวลมาก่อนจ้า😂😂
***การเดินทาง
การผจญภัยของเราเริ่มตั้งแต่ตี5 ออกจากบ้านBordeauxเพราะต้องไปรถไฟTGV เที่ยวแรกตอน.5.40 เพื่อไปถึงสถานี Gare Montparnasse (Paris) ประมาณ8.30 (ซึ่งจริงๆเราไปถึง9โมงกว่าเพราะ รถไฟช้าไปกว่าครึ่งช.ม.) จากนั้นเราก็ต่อ RER A : ไปอีกประมาณ 1 ชม. เราก็ถึงสถานี Marne la Vallée คราวนี้แม่เตรียมตัวมาดีเราซื้อoption luggage express ไว้แล้ว มันทำอะไร? มันช่วยอำนวยความสะดวกในการเริ่มต้นผจญภัยได้เร็วขึ้นไม่ต้องรอคิวนาน ลงรถปุ๊บเดินตรงไปที่เคาเตอร์บอกชื่อคนกับโรงแรมที่จองไว้ (มันจะอยู่ในลิสท์เขาอยู่แล้ว) เขาก็จะให้บัตรเข้าDisneyและเอกสารทุกอย่างกับเราทันที พร้อมกับรับกระเป๋าเราไปแล้วก็เอาไปส่งให้ถึงโรงแรม ส่วนเราแม่ลูกก็เดินตัวปลิวเข้าไปเล่นที่parcได้เลย ส่วนขากลับหลังจากcheck out ตอนเช้าเขาก็จะมารับกระเป๋าเราที่โรงแรมแล้วก็เอาไปไว้ที่สถานีรถไฟให้ เพื่อที่เราจะได้ไปเล่นและเดินทางกลับได้เลยโดยไม่ต้องย้อนไปเอากระเป๋าที่โรงแรมอีก จะไปเอาตอนไหนก็ได้แต่ต้องก่อน 3 ทุ่ม optionนี้แนะนำรัวๆ 30€ ราคาเหมารวมขาไปและกลับ จะกระเป๋ากี่ใบก็ได้ ขาไปเราฝากไป1ใบ แต่ขากลับเรามี2ใบ ราคานี้จองตอนซื้อตั๋วกับbookโรงแรมพร้อมกันไปเลย เพราะเราจะได้บัตรแข็งที่เอาไว้ทั้งเข้าสวนสนุกและเป็นคีย์การ์ดห้องพักในอันเดียวกันเลย ถ้าจะเอาoptionจองและจ่ายร้านอาหารพร้อมเลยก็ได้แบบ1บัตรครบจบในอันเดียวก็สะดวกดี

สิ่งที่เราเตรียมคือโหลด app Disneyland Paris ใส่โทรศัพท์ไว้เลย เข้าไปไม่ต้องมาอ่านแผนที่ อยากเล่นเครื่องเล่นไหนก็คลิกเข้าไปดูมันจะให้ข้อมูลว่าจำกัดความสูงขั้นตำ่ที่เท่าไหร่ ระยะเวลารอคิวนานแค่ไหน อยู่ตรงที่ใด มีข้อมูลร้านอาหารและตารางกิจกรรมรวมถึงบอกด้วยว่าจะเจอตัวการ์ตูนได้ตรงไหนบ้าง คือดีและที่สำคัญฟรี


Picture
ขบวนพาเรด
Part 1 : โซน Disney Parc

เราเริ่มกันที่ Parc Disney โซนนี้จะเป็นพวกเครื่องเล่น มีบัตรแล้วเข้าได้เลยไม่ต้องรอคิว เห็นแถวน่าจะมีสัก15-20นาทีได้ เข้าไปปุ๊บพี่มาทิอาสก็จัดการแชะรูปเลย แล้วก็เดินเข้าไปที่ Main Street พอดีมีขบวนพาเหรดมา ตอนที่ไปเป็นทรีม เจ้าหญิงกับโจรสลัด ถามมาทิอาสรู้จักตัวไหนบ้าง ลูกชายหันมาตอบอย่างภาคภูมิใจ « นั้นไง Mickey หนูหูดำๆหัวใหญ่ๆ แล้วก็ผู้หญิงชุดสีฟ้าก็Elsa ส่วนที่เหลือเพราะมาทิอาสไม่รู้จักเลยต้องมาดูจะได้รู้จักไงหม่าม้า » (จบทริปกลับมาลูกฉันก็ยังเอาตุ๊กตาMickey มาทำเป็นน้องสาวแล้วตั้งชื่อให้อย่างเก๋ว่า “ซากุระ” 😭)
ดูจบก็เดินเข้าไปอีกหน่อยและเครื่องเล่นแรก เริ่มกันเบาๆเป็นการประเดิมทริปเรา นั้นก็คือ

  • 1. Orbiton มันคือยานอวกาศแบบเครื่องบินเปิดประทุนที่หมุนไปๆและสูงขึ้นๆ ไม่น่าหวาดเสียวเด็กเล็กๆก็เล่นได้ แต่คิวนั้นรอกันไป45นาทีเพื่อหมุนประมาณ1นาที (ไม่น่ากลัว แต่พอลงปุ๊บถามมาทิอาสเป็นไงบอกปวดท้อง) จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่

  • 2. Alice´s Curious Labyrinth มาจากเรื่องอลิซในเมืองมหัศจรรย์นั้นเอง เดินสบายมากหลงกันสบายเลย มันมาในลักษณะป่าเขาวงกตเดินวนๆไปก็จะเจอกับตัวละครในเรื่องไปตามทาง แล้วสุดท้ายก็จะไปจบที่ขึ้นไปบนหอคอยมีวิวสวยๆให้ดู อันนี้ดีไม่ต้องรอคิว ถ้าสายชอบถ่ายรูปน่ารักน่าจะชอบมีพร้อพมากมาย (แต่เราคงไม่กลับไปเล่นอีกอันนี้ ไม่ค่อยมีอะไร)

  • 3. Peter Pan’s Flight อันนี้ได้รับความนิยมสูง ป้ายคิวบอกรอประมาณ75นาที เกือบจะไม่เข้าแล้ว พอดีเห็นมี fast pass เลยลองเอาการ์ดเราไปแตะดูได้ด้วยแฮะ ตั๋วfast pass เขาจะกำหนดเวลารอบที่เข้า เราก็กดไว้แล้วไปเล่นอย่างอื่นก่อนกลับมาตอนเวลาที่บอกในตั๋วก็ได้เข้าทางพิเศษรอไม่ถึง 10นาทีก็ได้เล่น แต่มันไม่ได้ใช้ได้กลับเครื่องเล่นทุกอัน และมันก็จำกัดรอบที่ใช้2-3อัน/วัน ถ้าอยากได้แบบใช้มันตะพึดตะพือไม่มีลิมิต้องซื้อoption super fast pass ราคาประมาณ130€เพิ่มเข้าไป) อันนี้จะให้นั่งเรือแบบรถไฟเปิดประทุน มันจะวิ่งไปในที่มืดๆแล้วก็จะเห็นเป็นเมืองเล็กๆประดับด้วยแสงไฟละลานตา ได้อารมณ์เหมือนเราเป็นปีเตอร์แพลนกำลังบินอยู่เลย (มาทิอาสไม่ค่อยชอบเท่าไรบอกไม่มีไรน่าตื่นเต้น จบทริปยังจำไม่ค่อยได้เลยว่าเล่น😂)

  • 4. Indiana Jones et le Temple du Péril : อันนี้มาทิอาสอยากจะเล่นมากมายเพราะได้ยินเสียงกรี๊ดกระจาย ดูตื่นเต้น ปรากฎว่าสูงไม่ถึงเพราะกำหนดขั้นต่ำ140cm. (กลับไปซดซุปก่อนนะลูก😛)

  • 5. Thunder Mesa Riverboat Landing ขึ้นเรือไปชมรอบเกาะ หลังจากอาหารกลางวันเราก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูป up faceอะไรก็ว่าไป...สรุปคือมีไว้ให้พักเหนื่อยเพราะเรือเล่นช้ามากๆ เราจะได้เห็นทิวทัศน์ที่โซนนี้เขาทำเป็นเมืองจำลองสไตล์far west

  • 6. La plage des Pirates อันนี้ไม่มีเครื่องเล่นให้หวาดเสียวหรือกระตุ้นการเต้นของหัวใจแต่อย่างใด เดินเล่นชิวๆถ่ายรูปเพลินเดินวนไป

  • 7. Buzz Lightyear Lazer Blast : อันนี้เรามาทำกันเช้าวันที่2ตอนที่เขาเปิดรอบพิเศษเลยรอคิวแค่ 10 นาที ปกติอันนี้รอกัน 75นาที เล่นได้ทุกวัยเหมาะกับเด็กเล็กๆด้วย เราจะได้เข้าไปนั่งในยาน แต่ละยานจะมีปืนเลเซอร์ 2 กระบอก ยานจะเลือนไปตามรางเลื่อน เราก็บังคับยานให้หมุนซ้ายหมุนขวาแล้วยิ่งเลเซอร์ให้โดนแป้นที่นิ่งบ้างเคลื่อนไหวบ้าง ถ้ายิงถูกคะแนนก็จะขึ้นที่แป้นของยานเรา แข่งกัน2คนเพราะมีกันคนละฝั่ง เครื่องเล่นนี้มีถ่ายรูปด้วย

  • 8. Big Thunder Mountain : อันนี้เราหมายมั่นว่าจะเล่นกันตั้งแต่วันแรกแต่คิวยาวเกิน เลยจัดกันเช้าวันที่2 มันคืออะไรทำไมถึงกระตุ้นความอยากขนาดนั้น ตอนดูอยู่ไกลๆได้ยินเสียงคนกรี๊ดจากเกาะด้านนั้นมาถึงด้านนี้เราก็ตั้งชื่อให้มันว่า “หุบเขารถไฟสายฟ้าฟาด” แต่พอได้เล่นและลงมาเราขอเรียกมันว่า “เหวมรณะรถไฟสายนรก” มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นมันแค่เป็นขบวนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วมากไปตามหุบเขาที่หักมุมและวิ่งรอดเข้าเหวหรือถ้ำมืดเป็นระยะๆ แต่ที่มันทำให้คนกรี๊ดได้เสียงดังน่าจะเป็นเพราะเราไม่ได้ถูกรัดแน่นให้ติดกับเก้าอี้ ตอนที่รถไฟหักโค้งด้วยความเร็วเราก็จะไหลไปไหลมามันเลยทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและรู้สึกว่าเสี่ยงกับการตกได้ ทางเดียวคือต้องจับบาร์ที่คาดบริเวณเอวให้แน่นๆ น่าแปลกใจที่ให้เด็กสูง1เมตรเล่นได้ เราไม่ค่อยแนะนำจริงๆ ส่วนมมาทิอาสนั้นไม่มีเสียงร้องสักแอะ แต่ลงมาหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย (ทีเมื่อวานรำ่ร้องจะเล่น!) แต่นี้ยังไม่ใช่ที่สุดของความตื่นเต้นในทริปนี้นะจ๊ะ

  • 9. La Tannière du Dragon : อันนี้เดินหลงเข้าไปในถ้ำแบบงงๆ เพราะมองไม่เห็นป้าย ไม่มีคิว เป็นแค่ทางเข้ามืดๆลดเลี้ยวไป แล้วอยู่ๆก็เจอsurprise ใหญ่บิ๊กบึ้ม เพราะมันคือมังกรตัวเป็นๆกำลังคำรามยกหัวขู่พร้อมกับกระพริบตาสีแดงๆ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะที่ขามันมีโซ่ล่ามไว้หนึ่งข้าง งานทำได้ละเอียดถึงขั้นท้องมังกรมันพองขึ้นยุบลงแบบสิ่งมีชีวิตที่กำลังหายใจ ต้องบอกเลยว่าเหมือนมากเป็นมังกรเวอร์ชั่นตะวันตกมีปีก ตัวดำๆ มีเกล็ดห่างไกลมังกรแบบจีนเลย อ้อกรุณาอย่าเสียงดังไปนะมันกำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่าปลุกมันเด็ดขาดเพราะดูเหมือนจะเป็นมังกรโมโหร้ายอยู่นะ😂😂 (อันนี้มาทิอาสชอบมากไปดูตั้ง 3รอบจะกลับบ้านยังไปแวะbye byeเลย)
  • 10. Dumbo the Flying Elephant : ช้างน้อยบิน มันให้อารมณ์ม้าหมุนดีๆนี่เอง แต่ช้างสามารถบังคับให้มันบินได้สูงตามต้องการ เหมาะกับเด็กเล็กๆมากเลย

  • 11. Pirates of the Caribbean : ขึ้นเรือล่องไปตามลำนำ้ในหมู่บ้านโจรสลัด ลึกเข้าไปเรื่อยๆก็จะเริ่มมืด นำ้จะเริ่มเชี่ยว เสียงดังของคนคุยกัน ร้านบาร์งานเลี้ยงฉลองยิ่งเข้าไปลึกก็จะเริ่มเห็นวิถีชีวิตของโจรสลัดที่นำเสนอในรูปหุ้นขี้ผึ้งขนาดเท่าของจริง ผ่านส่วนที่เป็นหมู่บ้านก็จะเข้าสู่แดนลึกเสียงเริ่มเงียบ อากาศเริ่มเย็นแล้วก็...บึ้ม! เรือตกลงไปในเหวพอให้หวาดเสียวนิด(ตอนนี้แหละที่เราจะถูกถ่ายรูป ยิ้มค่ะ😂)และอาจเปียกหน่อย จากนั้นก็จะเจอซากเรือโจรสลัดลำใหญ่หักครึ่งที่มีกระดูกอยู่ตามหิน มีผีห้อยโหน และแล้วเรือก็ล่องต่อจนมาถึงกองสมบัติที่เต็มไปด้วยหีบทองและแน่นอนหัวหน้าโจรสลัดนั่งจิบเบียร์ ก่อนกลับมีเรือตกเหวให้หวาดเสียวเป็นการทิ้งทวนก่อนจากกันนิด อันนี้น่าจะนานสัก7นาทีได้ เป็นอันหนึ่งที่ควรค่าแก่การต่อคิวเลย (แต่เราใช้fast passกัน)

สำหรับวันแรกรู้สึกยังเล่นไม่ถึงไหนเลยแต่จะ6โมงเย็นแล้ว เราเลยจำใจต้องออกเพราะจองโชว์ไว้รอบ 6.30เย็น เราหมดเวลาไปกับการต่อคิวรอเครื่องเล่น วิ่งเข้าร้านของเล่นร้านนี้ร้านนู้นเพราะคุณมาทิอาสจะต้องหาเหรียญและอยากใช้งบค่าของเล่นที่แม่ให้มาก อีกอย่างแค่ซื้อของกินคิวร้านที่สั้นที่สุดก็หมดไปเกือบ1ช.มเพื่อแลกมากับ ขนมปังhot dog และนักเก็ตส์ไก่กับโค้กพร้อมหลอดดูดมิกกี้ (คือทั้ง2วัน อาหารที่Disney ไม่ok มาก คิวยาวไม่อร่อย คือfast-food จริงๆ และราคาก็มาแบบไงก็ต้องซื้อจะโขกเท่าไหรก็จัดไป55 ส่วนร้านที่เป็นร้านอาหารจริงๆดูเหมือนจะดี คิวก็เกินรอ เสียเงินไม่ว่า แต่เสียเวลาและไม่อร่อยนี้สิ จริงๆควรพกอาหารสใตล์ปิกนิกไปได้ไม่เสียเวลา ต่อคิวไปกินไปได้สบายเลยแต่อันนี้แม่ไม่ได้คิด (สรุปคำ่อีกวันที่เราออกจากDisney ทั้งแม่และลูกต้องจัดทั้งนำ้ชาทั้งอาหารค่ำเพื่อชดเชยเลยทีเดียว)
Picture
La Légende de Buffalo Bill
Part 2 : Disney village

โซนนี้จะเป็นโซนที่อยู่นอกออกมาจาก Diney parc และ Disney Studio (จริงๆอยู่ใกล้ๆกันเลย) ในโซนนี้ใครๆก็ไปเที่ยวได้ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเข้า เป็นเหมือนที่รวมของแหล่งร้านค้า ที่กินที่มีตู้เกมส์แบบหยอดเหรียญเหมือนที่ห้างในประเทศไทยชั้นของเล่นทั่วไป ที่นี้มีโรงหนัง มีร้านอาหารเยอะแยะ มีร้านขายของที่ระลึกที่สำคัญเปิดกันยันเที่ยงคืน สรุปเป็นที่ให้เราได้เสียตังค์เพิ่มเพื่อไว้เป็นที่เดินเล่นหลังจากที่Parcเขาปิดตอน19.00นั้นเอง
La Légende de Buffalo Bill Show อันนี้คือการแสดงพร้อมอาหารค่ำมี2รอบให้เลือก 18.30 หรือ 21.00 เราจองรอบแรกกับชั้น1มา (แนะนำให้จองกับตอนที่จองโรงแรมพร้อมกับแพ็คเกจดิสนีย์ไปเลย เพราะราคาจะถูกกว่าคิดว่าน่าจะได้ลด.10%และที่สำคัญเต็มค่ะ แต่เอาจริงๆจองชั้น2ก็ได้ที่นั่งไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ อาหารก็เหมือนกันแต่ชั้น1จะได้นั่งที่ด้านหน้ากับปีกข้างๆ และมีขนมกินเล่นเพิ่มขึ้นมา ที่เหลือเหมือนกันทุกอย่างราคาต่างกัน40€)
เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกเข้าประตูไปในร้านไม้สไตล์ far west เราก็ได้พบกับเอกลักษณ์แบบฉบับบรรยากาศcow boy ด้วยกลิ่นมูลสัตว์ หญ้าฟางและม้าที่มาทักทายต้อนรับเป็นอันดับแรกก่อนที่เราจะเดินถึงเคาน์เตอร์เสียอีก หลังจากโชว์การ์ด(อันเดียวกับเข้าเครื่องเล่น) เขาก็ให้หมวกcow boy มีแทบสีพร้อมป้ายบอกโต๊ะและที่นั่งมาให้ แล้วก็ปล่อยเราเดินสะเปะสะปะไปตามยถากรรมเรื่อยจนไปเห็นฉากต้นกระบองเพชรให้ถ่ายรูป เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นบรรไดไม้2ฝั่ง แล้วก็จะเจอโค้ดสีที่ป้ายกับเลขโต๊ะ เดินเข้าไปก็มีcow boy แต่งตัวราวกับลูกเสือสำรองมาพาไปนั่งโต๊ะไม้หน้าตาเหมือนอัฐจรรย์เชียร์กีฬาสี บนโต๊ะมีchips คิดในใจ กินแย่อีก1มื้อแน่ แต่ผิดคาด เขาเสริฟอาหารสไตล์Tex max มีทั้งไส้กรอก ไก่ย่าง ซี่โครงหมู BBQ กับถั่วต้มในซอสแบบเผ็ดๆ ส่วนเครื่องดื่มนั้นเป็น coke หรือเบียร์รีฟิลแบบพี่ๆcow boysขยันเติมมาก (เรานี้ไม่ชอบโค้ก มาทิอาสนี้กระดกไม่ยั้งเลย) เปิดฉากมาด้วยcow boy ขี่ม้าไล่กันมาแล้วก็มาตั้งcamps หลังจากนั้นก็การต่อสู้กันระหว่างชนเผ่าอินเดียแดงกับคนอเมริกัน แล้วก็ต่อกันด้วยนายอำเภอสาวนักแม่นปืน สักพักก็คั่นด้วยการเปิดตัวของเหล่าการ์ตูนและผองเพื่อนมาร้องเพลง แล้วก็จบด้วยการแข่งขันของเหล่าcow boys ในเกมส์ต่างๆ
การแสดง มันน่าตื่นเต้นเร้าใจขนาดนั้นไหม ก็ไม่ แต่ถูกใจเด็กๆแน่นอนเพราะเราจะถูกทำให้รู้สึกว่าคุณเข้าไปอยู่ในเมืองfar westที่มีแต่ cow boys และคุณจะต้องมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งเพื่อทำให้โชว์ออกมาสนุกเริ่มตั้งแต่การได้พร้อพที่เป็นหมวกcow boyที่มีสีของแต่ละทีม เราต้องทำตามคำสั่งที่หัวหน้ากองเชียร์บอก เคาะช้อน ทุบโต๊ะ ร้องเพลงกระทั้งโฮสีอื่นก็ทำ สรุปเราไม่ได้มาแค่ดูโชว์แต่เรามาเพื่อเป็นตัวประกอบของโชว์ (อันนี้คือสิ่งที่มาทิอาสชอบสุดในทริปนี้ แม่ก็เลยถามตัวเองอยู่จะซื้อแพ็คเกจแพงมาเพื่อ? ถ้าเอาแค่นี้bookแต่โชว์ก็ได้ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าparcก็ได้ไหม
หลังจากออกจากโชว์ราวๆเกือบ 2 ชม. มาทิอาสก็จัดการเดินเลาะสำรวจDisney village ต่อไป จนกระทั่ง22.40เราก็เดินไปนั่งรถ shuttle bus ไปยังโรงแรม ที่อยู่แค่ด้านหลังของVillage เดิน2นาทีถึง


Part 3: Disney’s hotel Cheyenne
การเดินทางจากParcมาโรงแรมนี้ใช้เวลาประมาณ7นาที แต่ความท้าทายก่อนกลับที่พักคือเราใช้เวลานานมากในการหาที่จอดรถของโรงแรม เพราะมันมีกันหลายคันต้องขึ้นให้ถูกด้วยนะ! พอมาถึงโรงแรมมันเกือบจะ 23.00นแล้วเราเลยไม่ได้ชมความงามมันสักเท่าไหร่เพราะตรงไปยัง เคาน์เตอร์โชว์การ์ด เขาให้หมายเลยตึกและห้องมาเอากระเป๋าแล้วก็มุ่งตรงไปยังห้องของเรา. ตอนจองเอารูปให้มาทิอาสเลือก เธอถูกใจสใตล์cowboys เราก็เลยเอาอันนี้ แถมอันนี้ราคายังถูกสุดในบรรดาโรงแรมทั้งหมด แต่อ่านในรีวิวเขาบอกว่าห้องเพิ่งทำใหม่ และเป็นอันเดียวที่มีทั้งร้านอาหาร salon และร้าน Starbucks แยกกันอย่างเป็นเอกเทศ นั้นหมายความว่าเราจะมีสิทธิ์เลือกของกินหลายแนวสะดวกที่สุด ถ้ามาหน้าร้อนที่นี้มีลูกม้าแคระให้เด็กขี่ได้ด้วย (คือลูกฉันเข้าใจเลือกจริงๆ) ตึกด้านนอกดูธรรมดาตกแต่งสใตล์โรงแรมไกลปืนเที่ยงมาก แต่พอเปิดประตูเข้าไปห้องน่ารักกว้างใช้ได้มีกระจกบานใหญ่ ตกแต่งตรีมToy story โคมไฟยังเป็นรูปรองเท้าบูท ห้องน้ำกว้างดีมีอ่างอาบนำ้ด้วย แต่ที่ถูกใจมาทิอาสที่สุดคือขวดสบู่เหลวมีฝาเป็นหัวMicky สรุปโรงแรมดีเกินคาดมาก คิดว่าเขาจัดเรท2ดาว เพราะที่4 -5 ดาวมีสระว่ายน้ำ เอาจริงๆตอนจองเราก็ว่า2ดาวที่นี้ราคาต่างกับที่4 ดาวแค่ 50€เอง แต่ลูกฉันจะเอาที่นี่ ถ้าไปครั้งหน้าเราก็จะจองที่นี้อีก บริการโดยรวมดี รวดเร็วและเดินทางสะดวกดีด้วย

8 โมงเช้าวันอังคาร(ค่ะคนเขียนเป็นเด็กยุค 90) เราก็check out แล้วเอากระเป๋าทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์รอให้บริการ luggage expressมาขนไปรอที่สถานีรถไฟ ส่วนเรา2คนนั้นก็เป้คนละใบไปDisney parcเพื่อจะใช้สิทธิ์Magic hour plusที่ให้เข้าเล่นก่อนเวลาเปิดทำการ (ช่วงนี้คือ 8.30 แต่ถ้าหน้าร้อนอาจจะเปิดกลางคืนเพิ่ม) วันนี้แม่เตรียมตัวมาดีเพราะมาพร้อมกับลิสท์เครื่องเล่นที่เขาเปิดทำการและเลือกอันที่ปกติมันต้องรอคิวนานๆ ฉนั้นไปถึงปุ๊บเราก็ไม่เสียเวลาไปยังเป้าหมายทันที จากต้องรอ75นาที เหลือแค่ 10-15นาทีเอง (ก็แน่ละคนที่นอนโรงแรมของDisney ไม่ได้มีแค่เราที่ได้รับสิทธิ์) ในวันที่ 2นี้เราเล่นนิดเดียวในส่วนของ Disney Parc เราไปสำรวจฝั่งของ Studio แล้วก็กลับกันตอนบ่าย4เพราะเราจะไปต่อกันในตัวเมือง Paris (เหตุผลหลักๆที่ออกเร็วคือพวกเราต้องการอาหารและขนมอร่อย เริ่มไม่ไหวกับอาหารfast foodแล้ว เพราะความสุขของการเที่ยวของเราคืออาหารด้วย เพราะเราอยู่เพื่อกิน ไม่ใช่แค่กินเพื่ออยู่🙃😉)
Picture
Hotel Cheyenne
Picture
The twilight tower zone tower of terror
Part 4. โซน Disney Studio
โซนนี้เราไม่ค่อยได้สำรวจอะไรกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะออกแนวเทคนิคแบบพวกแอฟแฟค เล่นเป็นตัวการ์ตูน มีภาพยนตร์ให้ดู รู้สึกเหมือนได้ไปเดินในHollywood เราไปกันวันที่ 2 เดินดูแล้วก็เล่นเครื่องเล่นนิดเดียว อาจจะน้อยแต่บอกเลยมันจะมี1อย่างที่คิดว่าน่าจะได้ยินเสียงกรีดดังที่สุดเพราะมันเด็ดดวงจริงๆ ถึงขนาดแบบลงมาเสร็จมาทิอาสบอกกลับได้เลยเต็มอิ่มจนแทบจะทะลักแล้วสำหรับทริปนี้ ที่เหลือค่อยมาทริปต่อไป


  • 1.Toy Solidier Parachute Drop : วางเป้ถอดสัมภาระแล้วไปกระโดดร่มกัน อันนี้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่มาทิอาสชอบมากมาย (แต่แม่นี้ไม่ค่อยok เพราะมันสูงและโล่งที่สำคัญตามันเห็นว่าสูงมาก แบบหวาดเสียวแม่ไม่กลัวแต่อะไรที่ต้องขึ้นที่สูงแล้วขาลอยฝ่าเท้าไม่ติดอะไรเลยอันนี้กลัว) อันนี้lockดีแน่นหนาเลย เครื่องจะไต่ไปที่ความสูง3/4 (ประมาณตึก3ชั้น)ก่อนแล้วมันก็จะค้างให้หายใจไม่ทั่วท้องสัก5วิจากนั้นก็ตกมา1/2หนึ่ง อย่าคิดว่ามันจบมันจะรีบพุ่งขึ้นสูงสักตึก4ชั้นแล้วค้างให้ดูทัศนียภาพซึ่งมันสวย แต่แม่ไม่ok เลยไม่รู้สึกว่าอยากดูเท่าไหร่ วินาทีนี้อยากลงแล้ว😭😭😭 ดูเหมือนว่าฟ้าจะได้ยินเสียงเรียกร้องอึดใจต่อมาเธอปล่อยลงกระทันหันเลย แบบตกใจจนลืมกรีดกันไปเลยแต่ที่พีคกว่ามาทิอาสที่นั้งข้างๆนี้หัวเราะชอบใจบอกเอาอีกๆ (ไม่ได้ดูสีหน้าแม่มันเลย! รถไฟนรกเรายังไม่กลัวเท่าอันนี้เลย)

  • 2. The Twilight Zone Tower of Terror : ไม่ใช่แค่โรงแรมผีสิง แต่มันคือประสบการณ์การใช้ลิฟต์ที่ทำให้อดีนาลีนพุ่งพล่าน อันนี้คือต้องจัดเลยถ้าต้องการความตื่นเต้นเร้าใจขั้นสุดแบบที่มากกว่าขนหัวลุก คิวยาว75นาทีแต่เราใช้ fast pass ได้ที่นี้และมีรูปถ่ายด้วย หลังเล่นนี้เสร็จจะหมดความอยากใช้บริการลิฟต์ในโรงแรมกันเลยทีเดียว ประสบการณ์จะเริ่มด้วยคุณถูกเชิญเข้าไปในห้องรับรอง หลังจากนั้นก็เดินขึ้นชันบนจะได้เห็นของตกแต่งแบบเก่าอารมณ์โรงแรมเก่าทรุดโทรมหน่อย จากนั้นพนักงานก็จะมาเชิญคุณไปพักยังห้องที่จัดไว้แต่มันต้องผ่านการใช้ลิฟต์ จัดการนั่งlockอย่างแน่นหนาที่เก้าอี้เสร็จประตูลิฟต์ปิดเท่านั้นแหละคุณเอยมันลงมาชั้น1เห็นภาพลางๆ เสียงความน่ากลัวก็เริ่มขึ้น แต่เดียวก่อนแค่นี้มันอาจจะดูธรรมดาไป หลังจากเริ่มขนลุกรายการต่อไปก็ไม่รอช้า อึดใจต่อมาลิฟต์กระตุกพุ่งขึ้นไปค้างเติ่งอยู่ที่เกือบถึงดาดฟ้า (ดูท่าDisney จะชอบให้เราดูวิวสูงๆเสียจัง) แล้วมันก็ร่วงลงมากระทันหัน นึกสภาพเหมือนคุณถูกผลักให้ตกลงมาจากตึกชั้นที่13แบบไม่ตั้งตัวเพื่อลงไปค้างอยู่กลางตึก ประตูลิฟต์เปิดออกเห็นสิ่งน่ากลัวแล้วก็ปิดพาขึ้นพาลงอยู่อย่างนี้3-4รอบในที่สุดก็ปล่อยเราลง ดีใจที่ได้เห็นพนักงานแทบอยากจะกระโดดไปกอดเลยทีเดียว! นี้เป็นของเล่นอันแรกและชิ้นเดียวที่มาทิอาสพูดขณะยังไม่จบว่า “มาทิอาสปวดท้องอยากลง” พอลงปุ๊บชวนกลับบ้านเลย😝 และนี้ก็เป็นอันสุดท้ายที่เราเล่นที่Disneyland

หลังออกจากDisneyland เราก็นั่งRER Aเข้าเมือง ทริปนี้เราได้ค้นพบร้านนำ้ชาที่เสริฟขนมสไตล์ญี่ปุ่นอร่อยควรค่าแก่การไปลิ้มลองมาแนะนำด้วย! (น่าจะได้อ่านเร็วๆนี้)


รักนะเลยบอกให้ :
  • Disneyland Paris, Boulevard de Parc, 77700 Coupvray เดินทาง RER A
  • ถ้าซื้อแพ็คเกจแบบนอนโรงแรมของDisney ราคาจะรวมตั๋วเข้าทั้ง2Parcให้เลย +ได้เล่นตอนสวนสนุกปิดแล้วเพิ่มอีก1ชม. ราคารายหัว บางทีมีโปรโมชั่นช่วงlow seasonบ่อยมากเลย
  • ซื้อทุกอย่างแบบonlineล่วงหน้าจะได้ราคาถูกกว่าและประหยัดเวลาเยอะมาก
  • ควรจะมีแผนเตรียมไปเลยว่าจะเล่นอะไรบ้าง อย่าไปดูก่อนแล้วค่อยเลือก โหลดแอป Disneyland Parisใส่มือถือไปด้วย
  • Fast pass เป็นoption เริ่มจาก69-130€มันใช้ไม่ได้กับเครื่องเล่นทุกอัน (ห้องบางoptionก็ไดสิทธิ์นี้ บางทีเพิ่มค่าห้องยังถูกกว่าไปซื้อตั๋วแยกรายคน ถ้ามาอย่างน้อย2คน)
  • ค่าอาหารเป็นเรทแบบ+30%จากราคาปกติ
  • สำหรับMagic hourต้องดูลิสท์ด้วยว่าของเล่นอันไหนเปิด ขอได้จากโรงแรมที่พัก

1 Comment

L’ autre petit bois : กับแกล้มฝรั่งเศสราคาเกินคุ้ม!

3/2/2019

3 Comments

 

ร้าน L’autre petit bois (โลทเทรอะ พึทิ บัว)

        ถ้ามาBordeaux ไม่รู้จะไปไหนลองปล่อยตัวเองเดินหลงไปแบบงงๆที่ Place du Parlement จตุรัสที่สี่มุมนี้มีแต่ร้านของกินเป็นถิ่นที่เปิดกัน7วันเลยทีเดียวแถมยังเชื่อมต่อทาง4ทิศแบบ4สไตล์ : หันซ้ายจะได้ร้านเหล้า ถ้าจะเอาร้านอาหารให้เลี้ยวขวา มุ่งตรงไปด้านหน้าจะเข้าสู่ถนนสายshopping (rue Saint Catherine) ส่วนด้านหลังเป็นสถานที่ที่ต้องแวะชมแชะรูปอย่าง Miroir d’eau กับ Place de la Bourse ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึง Bordeaux!
1 ในร้านแนะนำของจตุรัสนี้คือร้าน L’autre petit bois ( โลทเทรอะ พึทิ บัว) ที่เป็นร้านขนาดกลางที่ด้านในมีต้นไม้ใหญ่ประดับ(ถึงได้มีคำว่า boisที่แปลว่าไม้) เปิดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน มี2ชั้น นำเสนออาหารแนวชิมๆ ชิวๆ ดูวิวเพลินเจริญตาในราคาเบาๆ มีทั้งอาหารคาวและหวาน เครื่องดื่มเหล้า cocktail ไวน์ และชา (ถ้าคิดว่าจะมาเพื่อดื่มไวน์ดีเครื่องดื่มเด็ด ขอให้ข้ามไป?) เมนูดูเป็นอาหารทานเล่นแต่ปริมาณที่ได้จานเดียวอิ่ม! ราคาอยู่ที่ 8.50 -10€ สำหรับอาหาร ส่วนเครื่องดื่ม 4-6€
Picture
บรรยากาศร้าน L’autre petit bois (Bordeaux, France)
PictureSalade landaise
ร้านนี้ 4 เมนู(บี)แนะนำ : 
  •      1. Salade Landaise ประกอบไปด้วย เบคอนฝอย แฮมแบบตากแห้ง (jambon) มากับเป็ดแดดเดียวโรยมาบนสลัดกับมะเขือเทศที่ราดด้วยซอสนำ้ส้มสายชูกับซอสบาซามิก แต่ที่เป็นไฮไลต์ของจานนี้คือFoie grasที่มาเป็นแว่นใหญ่ๆและหนาพอควร ต้องบอกเลยปริมาณfoie grasที่ให้มากับราคาที่จ่ายไป10€นั้นถือว่าเป็นร้านที่มือเติบใช้ได้เลย
  •        2. Foie gras สำหรับแฟนพันธ์ุแท้ตับเป็ดต้องจัดเลย ขนาดใหญ่สะใจเสริฟกับขนมปังอบนำ้ผึ้งหอมเครื่องเทศ(pain d’épice) มาพร้อมกับเครื่องเคียงอย่างแอ๊ปเปิ้ลอบ แยมลูกฟิก ดูเป็นเมนูอาหารพื้นๆแต่รสชาติฟินเกินหน้าตาแถมราคาถูกกว่านี้หายากมาก! (9.90€)
  •           3. Œuf cocotte มาในรูปถ้วยที่เป็นไข่อบแต่เรายังไม่จบกับตับเป็ด ในเมนูนี้มันจะมาในรูปแบบfoie gras poilé น่าจะเทียบเคียงได้กับตับหวาน (2 เมนูบนเป็นตับเป็ดแบบนึ่งสุกในขวดโหล รสชาติต่างกันพอควรเลยแต่ที่ต่างกันมากสุดคือสัมผัสนุ่มละมุนละลายในปากและความมันของfoie gras  poilé ที่ออกจะเข้มข้นชัดเจนมันเลี่ยนอาจไม่ถูกใจกันง่ายแต่หาชิมยากนะ เข้าประเภทไม่รักก็เกลียดเลย)​
            4. Crottin de chevignol rotis : เมนูนี้สายชีสต้องสั่ง พาคนฝรั่งเศสไปใครก็ชอบ มันคือชีสนมแพะก้อนกลมที่เอาไปอบกับไวน์แล้วราดนำ้ผึ้งเติมใบโหรพาไปนิด ถามว่าอร่อยไหม ขอบอกตามตรงตอบไม่ได้เพราะไม่ชอบชีสนมแพะด้วยกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างแรงจึงเป็นเมนูที่บีขอบายแต่เห็นลูกชายยกนิ้วให้ว่าอร่อย(เรื่องชิมอาหารรสชาติแบบฝรั่งเศสเชื่อมาทิอาสได้)

        จริงๆลิสเมนูเขายาวเหยียดแต่ที่คิดว่าสุดและดีที่นี้มีแค่4อันนี้ ถ้าจะเอาแบบไม่เน้นรสชาติแค่พอได้แกล้มเครื่องดื่มชิวๆก็จัด Assiette charcuterie et fromageไป จานนี้คือรวมมิตรชีสกับแฮมดิบ3-4อย่าง รสไม่เน้นเอาแค่ปริมาณอันนี้แหละใช่เลยมาในราคา 5.8€
Picture
Assiette charcuterie et formage
Pictureชั้น 2 มุมหน้าต่าง
 ร้านนี้อาหารผ่านรสชาติดีในราคาที่เกินคุ้มเมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณ วิวพอใช้ได้แต่ที่ไม่แนะนำเลยคือที่นั่ง ไม่มีเก้าอี้หรือโซฟาตัวไหนนั่งสบายเลย ไม่รู้เพราะเก่าหรือสไตล์ร้านแต่เก้าอี้ถ้าไม่แข็งเบาะก็ไม่เด้งบางอันนี้รู้เลยว่าเบาะที่นั่งมันกร่อนจนจะถึงฐานอยู่แล้ว ไหนๆจะแข็งแล้วก็เลือกนั่งเก้าอี้ไม้ไปเลย แต่ถ้าจะเอารูปสวยก็คงต้องทนนั่งโซฟาที่สบายน้อยไป (ต่อให้เก้าอี้นั่งไม่สบายแต่ก็ยังเป็นร้านที่ควรค่าแก่การไปชิมกับเมนูที่มีfoie grasเลย?)

 แนะนำให้เลือกชั้น2 แล้วไปอย่างน้อย 3คนเพื่อจะได้ยึดโต๊ะเตี้ยกับSofaนั่งตรงหน้าต่างมุมขวาจะได้เห็นวิวดีสุด หน้าร้อนได้รับลมเย็นๆมองดูคนเดินไปมา บางทีมีศิลปินเปิดหมวกยืนร้องเพลงข้างๆน้ำพุเสริมบรรยากาศอีกด้วย

Note : L’autre petit bois, 12 place du Parlement Bordeaux 
เปิดทุกวัน เวลา12.00 - 00.00น. เป็นแบบwalk in only!
ราคาเฉลี่ยอาหาร+เครื่องดื่มประมาณ 15€/คน
​
มีคำถามข้อแนะนำติชมหรือcomment เป็นกำลังใจให้กันได้ อยากให้มาแชร์ที่ไหนหรือหัวข้ออื่นก็บอกกันได้นะ
3 Comments

    Archives

    March 2022
    January 2022
    June 2019
    May 2019
    March 2019

    Categories

    All
    อาหารฝรังเศส
    เที่ยวฝรั่งเศส
    Acitivity
    Bordaux Restaurant
    Bordeaux
    Gastronomy
    Paris
    Restaurant
    Restaurant Gastronomy
    Restaurant Paris
    Retaurant
    Salon Du Thé
    Teatime
    Top Teatime
    Visit

    RSS Feed

element_settings.Image_30621876.default
 Author : Bee  BW
YouTube : Teatime Diary by BW
Blockdit : Teatime Diary by BW
IG : teatimediary.bw / Bee BW
​Mail : teatimediarybw@gmail.com
www.teatimediary.com
​

Home

Teatime

Restaurant

visit

activity

contact

Copyright © 2023
  • Home
  • Teatime
  • Restaurant
  • visit
  • activity
  • contact
  • Blog