TEATIME DIARY
  • Home
  • Teatime
  • Restaurant
  • visit
  • activity
  • contact
  • Blog
Picture

Cité du vin : พิพิธภัณฑ์ไวน์

3/4/2022

2 Comments

 

Cité du vin : พิพิธภัณฑ์ไวน์

Picture
         มา Bordeaux หนึ่งที่ต้องแวะ คือ พิพิธภัณฑ์ไวน์ หรือ “Cité du vin” …อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งส่ายหัว หรือ  “say no” แม้ว่าคุณจะไม่ใช่สายดื่ม… เพราะแม้แต่เด็กเล็ก (แนะนำตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป) ถ้าลองได้ก้าวขาเข้าไป ก็ยังชื่นชอบ (ลูกดิฉันนี่ ไปแล้ว ไปอีก ไปตั้งแต่เล็กๆ ทุกวันนี้ก็ยังชอบไปอยู่เลย) และถ้าคุณเป็นสายดื่มอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรพลาด… แล้วก็ลืมภาพพิพิธภัณฑ์แบบดั้งเดิม ที่มีตัวหนังสือยาวเป็นพรืด แบบแค่เห็นความยาวของแต่ละย่อหน้าก็ถอดใจ อยากร้องกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะที่นี่ ข้อมูล กิจกรรม สถานที่ รวมถึงวิธีการนำเสนอ ถูกออกแบบและจัดวางแบบ interactive ย่อยง่าย และทันสมัย ทำให้การเรียนรู้ ทำความเข้าใจวัฒนธรรมในการผลิตไวน์เป็นเรื่องสนุก น่าติดตาม เวลา 1 - 2 ชั่วโมงจะผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบที่คุณไม่รู้ตัว เพราะมั่วแต่เพลิดเพลินกับการเรียนรู้ กดนั้น ดูนี่ อย่างสนุกสนาน ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวเล่น มากกว่าไปพิพิธภัณฑ์เสียอีก…เริ่มรู้สึกน่าไปแล้วไหม ถ้าพร้อมแล้วเรียนเชิญค่ะ…
Picture
        พอถึงที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะหายาก หรือหลงไปที่อื่นแต่อย่างใด เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของพิพิธภัณฑ์นั้นดูโดดเด่น เป็นที่สะดุดตา และเห็นมาแต่ไกล ขนาดยืนห่างหลายร้อยเมตร ก็ยังสามารถเห็นเหยือกใส่ไวน์ขนาดมหึมา ตั้งสง่าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ พร้อมแสงสะท้อนจากกระจกและอลูมิเนียม ที่ส่องประกายราวกับกำลังทักทายผู้มาเยื่อนแต่ไกล ๆ …. ก่อนเข้า เราแนะนำให้แชะภาพเป็นที่ระลึกก่อน เผื่อขากลับดื่มแล้วลืม😉
        พอก้าวขาเข้าไป แน่นอนด่านแรกคือเคาน์เตอร์ขายตั๋ว😂😂 การเดินทางของเราจะเริ่มโดยการเดินขึ้นบันไดไม้ ที่ถูกออกแบบมาจากการจำลองไวน์ที่หมุนวนอยู่ภายในแก้ว (ไปให้สุด ไม่มีหลุดจากตรีม😜) บันไดนี้จะพาเราเดินวนขึ้นไปที่ชั้น 1 ขวามือจะเป็นห้องสมุด ที่สร้างเป็นรูปโดม มีหลังคาเป็นไม้สีสว่าง ตกแต่งให้ดูโปร่ง เรียบง่าย แต่ดูสบายตา บรรยากาศเชื้อเชิญให้นั่งสุดๆ ที่นี่รวบรวมหนังสือ ข้อมูลและการ์ตูนเกี่ยวกับไวน์ให้อ่านฟรี แถมมีเก้าอี้พร้อมสายชาร์จให้อีก แต่ไม่มีบริการให้ยืมกลับบ้าน (ไม่ต้องซื้อตั๋วก็ใช้บริการห้องสมุดได้ฟรี) ส่วนซ้ายมือจะเป็นห้องไว้สำหรับสัมมนา ห้อง work shop ต่าง ๆ  (แนะนำให้ดูโปรแกรม หรือ book ก่อนมา) ต่อให้บรรยากาศชวนแวะแค่ไหน แต่อย่าเพิ่งหยุดที่นี่ เพราะเราต้องเดินขึ้นบันไดไม้วนขึ้นไปอีก 1 ชั้น

        การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ของเราจะเริ่มอย่างเป็นทางการที่ชั้น 2  หลังจาก scan ตั๋วแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ audio guide พร้อมหูฟัง ตัว audio มีหลายภาษาให้เลือก แต่ยังไม่มีภาษาไทยอยู่ในนั้น🥲 มี audio guide เวอร์ชั่นสำหรับเด็กด้วย อยากไปไหน ดูอะไร แค่เอาเครื่องนี้ไปยิงที่ code bar ตรงสิ่งที่เราสนใจ แต่ละอันจะสั้นๆ เนื้อหาเข้าใจง่าย ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นสำหรับเด็ก มีมุกตลกและเกมส์แถมให้อีก😉 
Picture
ที่ประตูทางเข้าจะมีแผนผังขนาดใหญ่ โดยแบ่งออกเป็นโซนตามหัวข้อต่างๆ  แต่ไม่ต้องเสียเวลาตีลังกาอ่านแผนที่ก็ได้นะ แค่เดินไปเรื่อยๆก็ได้ (ข้างในไม่ได้ใหญ่ หรือกว้างขนาดที่จะเดินแล้วหลงแน่นอน) แต่ถ้าเรามีเวลาจำกัด หรืออยากดูแค่บางหัวข้อเน้นๆ หรือไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เค้ามี guide line แผนการชมเสนอมาให้ถึง 4 แบบ โดยแต่ละอันใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม. ครอบคลุมตรีมหลัก ๆ เลือกได้ตามสไตล์ ตั้งแต่สำหรับชาวเน้น สั้น ๆ เนื้อหาน้อย ๆ แต่ได้ความรู้หลัก ๆ กลับไปด้วย จนถึงสไตล์ที่เป็นนักค้นคว้า ต้องดูให้ครบ ศึกษาให้ละเอียด แบบไม่ถ่องแท้ถือว่าไม่ได้มา  แต่ละตรีมจะแบ่งออกเป็นสีต่างกันไป ซึ่งเราจะดูได้จากแผนผังที่เขาแสดง และจุดสีนี้จะอยู่ในโซนต่าง (เอาจริง ๆ  แผนที่อ่านไม่ออกก็ไม่เป็นไร ตามสีเอาก็เข้าใจ) : 
  • juniors (สีเขียว) สำหรับเด็ก สนุก สั้น กระชับ ได้ขยับร่างกาย (สายเน้นเอ็นเตอร์เทน อันนี้น่าจะโดน😜)
  • Essentials (สีทอง) เน้นองค์รวม เจาะหัวข้อหลัก ๆ ครอบคลุมทุกประเด็น (สายเด็กเรียน อันนี้คือที่สุด🧐)
  • Making Wine (สีแดง) เจาะห่วงโซ่การผลิตไวน์ จากทุกมุมโลก (สายธุรกิจมาเอง🤔)
  • Feast your eyes (สีฟ้า) เน้นที่ดึงดูดตา สบายขา พาอารมณ์สุนทรี (สายโรงหนัง ชอบนั่งดู แผนนี้คือดีสุดๆ😎)
Picture
        ส่วนพวกเรานั้น แน่นอนที่สุดต้องเลือกทาง “สายกลาง” แผนที่ไม่ต้อง เพราะขี้เกียจดู😂😂  เราจะเดินไปเรื่อยๆ แวะแทบทุกจุด อันไหนสนุก ถูกใจ คนไม่เยอะ พอให้ถ่ายรูปได้ เราก็แวะนานหน่อย😉 ​
       เริ่มต้นอุ่นเครื่องเบา ๆ พอให้สัมผัสบรรยากาศ กับฐานแรกซึ่งตั้งอยู่ที่ทางเข้า มีชื่อว่า “survol des vignobles / vineyards from the skies” ที่ ๆ เราจะเจอกับหน้าจอยักษ์ ขนาบ 3 ด้าน พร้อมม้านั่งยาวเรียงราย ที่จะพาเราชมทัศนียภาพไร่ไวน์ แบบกว้างสุดลูกหูลูกตา จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยคลิป video ที่ถ่ายจากมุมสูง ถ้าจะดูให้ครบซีรีย์จะใช้เวลาประมาณ 8 นาที (เรารักคนอ่านขนาดไหน ถึงขนาดจับเวลาให้ด้วย😊)

        หลังจากเต็มอิ่มกับทัศนียภาพของไร่ไวน์ที่กว้างใหญ่ไพศาล คราวนี้เราจะหันมาสนใจของขนาดเล็ก อย่างเจ้าองุ่นลูกน้อย ๆ  เพียงแค่เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไม่ถึง 15 ก้าว เราจะเจอ ไม้หน้าสามเรียงต่อกัน โดยมีป้ายเขียว ๆ แดง ๆ  หน้าตาอนุมาณว่าคือ พวงองุ่นติดเป็นระยะ ๆ  องุ่นแต่ละพวงจะมีตัวอักษรติดอยู่ด้วย ฐานนี้มีชื่อว่า  « Dans les vignes / In the Vine »  เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ต้น กิ่ง ก้าน ใบ เถา ดิน และสายพันธุ์ขององุ่น ทุกคำที่แปะอยู่ที่เถาองุ่นแต่ละพวง เราจะพบคำตอบว่ามันคืออะไร จากการ scan ที่หน้าจอสีเหลี่ยมผืนผ้าที่ห้อยอยู่นั้นเอง  ฐานนี้ดูเหมือนเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่เห็นจำนวนป้าย บอกเลยใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน (ถ้าจะฟังให้ครบก็ต้องมี 15 นาที) แต่เป็นหนึ่งฐานที่แนะนำว่าต้องแวะเลย และถ้ายิ่งมากับเด็กยิ่งแนะนำ เพราะมันมีเกมส์ให้เล่น (แย่งลูกเล่นไปอีก😂) presentation แต่ละอันแค่สั้น ๆ มีทั้งแบบ ภาพ video และข้อความให้อ่าน เป็น 15 นาที ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่น่าเบื่อแน่นอน 
        รู้จักสายพันธุ์แล้ว ต่อมาเราจะชวนไปทำไวน์ในฐานที่มีชื่อว่า « L’élaboration du vin / Wine making » องุ่นเก็บมาแล้ว จากนั้นต้องทำไงต่อ กว่าจะมาเป็นไวน์ 1 ขวด นี่คือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากฐานนี้ ไม้พาย ตระกร้า เครื่องจักร ถังบ่มไวน์ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพราะฐานนี้เราจะทำไวน์ด้วยมนต์วิเศษ ที่ใช้เพียง นิ้วชี้จิ้มที่หน้าจอแต่ละอัน เลือกไวน์ขาว ไวน์แดงตามชอบใจ แล้วเราก็จะเข้าสู่กระบวนการ ตั้งแต่ แยกองุ่น คั้นน้ำ แยกเปลือก ใส่ถังหมัก จนกระทั้งบรรจุขวดพร้อมส่งโรงบ่ม  ทั้งหมดนี้เสร็จง่าย ๆ ด้วยปลายนิ้วชี้ ในเวลาแค่เพียง 8 นาที ฐานนี้เด็ก ๆ ต้องแวะ เพราะมี 3 เกมส์ให้เล่น หนึ่งในนั้นคือการสร้างถังบ่มไวน์ของตัวเองด้วย (แม่อย่างดิฉัน มีหรือจะพลาด ไปขอเล่นของลูกอีกตามเคย😂) 
Picture
.        ใช้นิ้วเสกไวน์แล้ว เหมือนแรงจะหมด ขอแนะนำให้ไปพักในฐานที่อยู่เยื้อง ๆ กัน ที่ชื่อว่า « Au delà des mers / Across the sea » คำเตือนระวังอาการเมาเรือ และคลื่นทะเลนะจ๊ะ😉 ฐานนี้ไม่ต้องทำอะไรเลยแค่เลือกที่นั่งใต้ท้องเรือสำเภา ที่ขนไวน์เดินทางข้ามทะเลกัน ร่วมเดินทางไปกับพ่อค้าชาวโรมันและนักต่อรองชาวฮอลแลนด์ แต่เงื่อนของเรื่องนี้กับอยู่ที่ลูกเรือตัวน้อย ที่มีที่มาไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงพี่น้องของเทพเจ้าองค์หนึ่งทีเดียว เราไม่ได้เขียนเล่าเรื่องแบบคนเมาเรือ หรือเมาไวน์นะ🤣  ฐานนี้มันคือ การนำเสนอเรื่องราวตำนานความเชื่อเข้ากับประวัติศาสตร์ที่จะพาเราย้อนยุค ผ่านฟิมล์ที่ฉายอยู่ใน mini โรงหนัง ที่จะสร้างความฟินตลอดเวลา 8 นาที ผ่านภาพและเสียงนั้นเอง
          ออกจากเรือ เราขอนำเสนอให้ไปพักกาย พักใจกันต่อที่ฐาน « vin de l’amour / wine and love » โดมกลม ๆ ที่พอแหวกม่านสายสลิงสีขาวเข้าไป จะพบที่นั่งสีแดงทอดยาวเป็นรูปครึ่งวงกลม เย้ายวนชวนนั่งเป็นที่สุด ถ้ามาเป็นคู่ นี่คือฐานที่โรแมนติกที่สุด และที่นั่งสบายสุด บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้ม และเหมาะกับการนอนเป็นอย่างยิ่ง  ฐานนี้เหมาะกับการปล่อยใจ และปล่อยกายที่สุด เพราะแค่นอนหลังพิงเก้าอี้ หงายหน้า ตาจ้องเพดาน และปล่อยใจให้รับรู้เรื่องราวความรัก ผ่านภาพที่มีลวดลายศิลปะแนวโรมัน (เป็นความโรแมนติก เคลือบแฝงมากับความอีโรติกเบา ๆ ในระดับของงานศิลปะ แบบไม่มากไป แต่มีอะไรให้ตีความต่อ) ในขณะที่หู จะได้ยินเสียงเพลงลอยแว่วมา พร้อมด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงฝน เสียงฟ้าร้องและอื่นๆ แบบครบทุกองค์ประกอบของความรัก แบบ สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ครบทุกช่วงเวลา ตั้งแต่รักใหม่ผลิใบ ไปจนถึงจากลาใบไม้ร่วงหล่นจากต้น จนกระทั่งฟ้ายังหลั่งน้ำตา…(เรื่องมันเศร้า เคล้าน้ำตาจริง ๆ )
Picture
        ไม่รู้ว่า เพราะบรรยากาศพาไป หรือว่าที่นั่งมันสบายเกิน นั่งฟังไปสักพัก จะรู้สึกไม่อยากลุก เพราะจะอยากนอนฝั่งร่างไปกับเก้าอี้แทน (มิใช่เพราะเรื่องมันเศร้า แต่เพราะที่นั่งสบายจัด😂) แต่ยังมีอีกหลายฐานให้ไปต่อ และยังมีอีกหลายจุดไฮไลท์ ที่ไม่ควรพลาด เราพึ่งเดินทางกันมาถึงแค่ครึ่งเดียวของ cité du vin เอง แต่ถ้าจะให้เขียนต่อให้จบในบทเดียวก็เกรงว่า เนื้อหาจะยาวเป็นกิโล (เราไปตั้งหลายครั้ง กว่าจะดูครบทุกฐาน) เลยขอพักยกไว้ตรง « โดมแห่งรัก » นี่ก่อนน๊า แล้วบทความหน้าจะพาไปตะลุยที่เหลือให้ครบทุกฐาน รับรองเลยบทหน้ามีให้ตื่นตา ตื่นใจ ขยับ จับ ดม ครบ ทุกสัมผัสจริง ๆ ส่วนตอนนี้ ไปนอนฟังเพลงก่อนนะทุกคน 
​เจอกันอีกที บทความหน้านะค่ะ



Picture

ผู้เขียน : Bee Waleethong 
YouTube : Teatime Diary by Bee Waleethong
Blockdit : Teatime Diary by Bee Waleethong
IG : teatimediay_bw / bee_waleethong
Mail : ​teatimediarybw@gmail.com ​

2 Comments

Disneyland Paris : ทริปกรี๊ดกระจายสไตล์ Mickey 2วัน 1 คืน

3/3/2019

1 Comment

 

Disney Parc + Disney Studio + Disney village โซนไหนก็ไปกัน

Picture
ทริปนี้เราไปผจญภัยกันที่Disneyland Paris กับมาทิอาสเด็กน้อย6ขวบที่ไม่ค่อยรู้จักตัวการ์ตูนDisneyสักเท่าไร(สมัยนี้เด็กชายรู้จักแต่lego กับ Ninjago) และเราก็ทำทริปแบบ 2วัน1คืน เล่น กิน นอนค้างที่Disneyกันไปเลย
เที่ยวDisneyland มันไม่จบแค่ตอนสวนสนุกปิด ทริปนี้เป็นทริปที่แม่กับลูกอึดพอควรเลยเพราะเราเริ่มกันตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นจนกระทั้งตะวันตกทำความเคารพกับพระจันทร์ที่มาแทนและเกือบจะได้พบกันอีกรอบ มาทิอาสกับแม่นั้นก็ยังอยู่ Disney village ที่เปิดมันยันเที่ยงคืน (ปกติไปเที่ยวกับมาทิอาสไม่5ทุ่มเธอไม่นอน) เราพยายามจะเขียนบรรยายละเอียดพอควรเพื่อจะได้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวอยู่ขณะที่อ่าน บทความนี้ยาวหน่อยซึ่งจะแบ่งเป็น 4 ตอนย่อยๆตามโซนเพื่อความสะดวกในการอ่าน ค่อยๆแบ่งอ่านตามหัวข้อก็ได้หรืออาจจะรวดเดียวอันนี้คงต้องจิบชาหลายแก้วหน่อยกว่าจะอ่านจบ😉
คำเตือน : กรุณาเตรียมตัว เตรียมใจ ตับไตไส้พุงของท่านให้พร้อมเพราะอาจมีแรงกดอากาศและใจหวิวๆเป็นพักๆ แต่ก่อนอื่นนั้นสายตากับเวลมาก่อนจ้า😂😂
***การเดินทาง
การผจญภัยของเราเริ่มตั้งแต่ตี5 ออกจากบ้านBordeauxเพราะต้องไปรถไฟTGV เที่ยวแรกตอน.5.40 เพื่อไปถึงสถานี Gare Montparnasse (Paris) ประมาณ8.30 (ซึ่งจริงๆเราไปถึง9โมงกว่าเพราะ รถไฟช้าไปกว่าครึ่งช.ม.) จากนั้นเราก็ต่อ RER A : ไปอีกประมาณ 1 ชม. เราก็ถึงสถานี Marne la Vallée คราวนี้แม่เตรียมตัวมาดีเราซื้อoption luggage express ไว้แล้ว มันทำอะไร? มันช่วยอำนวยความสะดวกในการเริ่มต้นผจญภัยได้เร็วขึ้นไม่ต้องรอคิวนาน ลงรถปุ๊บเดินตรงไปที่เคาเตอร์บอกชื่อคนกับโรงแรมที่จองไว้ (มันจะอยู่ในลิสท์เขาอยู่แล้ว) เขาก็จะให้บัตรเข้าDisneyและเอกสารทุกอย่างกับเราทันที พร้อมกับรับกระเป๋าเราไปแล้วก็เอาไปส่งให้ถึงโรงแรม ส่วนเราแม่ลูกก็เดินตัวปลิวเข้าไปเล่นที่parcได้เลย ส่วนขากลับหลังจากcheck out ตอนเช้าเขาก็จะมารับกระเป๋าเราที่โรงแรมแล้วก็เอาไปไว้ที่สถานีรถไฟให้ เพื่อที่เราจะได้ไปเล่นและเดินทางกลับได้เลยโดยไม่ต้องย้อนไปเอากระเป๋าที่โรงแรมอีก จะไปเอาตอนไหนก็ได้แต่ต้องก่อน 3 ทุ่ม optionนี้แนะนำรัวๆ 30€ ราคาเหมารวมขาไปและกลับ จะกระเป๋ากี่ใบก็ได้ ขาไปเราฝากไป1ใบ แต่ขากลับเรามี2ใบ ราคานี้จองตอนซื้อตั๋วกับbookโรงแรมพร้อมกันไปเลย เพราะเราจะได้บัตรแข็งที่เอาไว้ทั้งเข้าสวนสนุกและเป็นคีย์การ์ดห้องพักในอันเดียวกันเลย ถ้าจะเอาoptionจองและจ่ายร้านอาหารพร้อมเลยก็ได้แบบ1บัตรครบจบในอันเดียวก็สะดวกดี

สิ่งที่เราเตรียมคือโหลด app Disneyland Paris ใส่โทรศัพท์ไว้เลย เข้าไปไม่ต้องมาอ่านแผนที่ อยากเล่นเครื่องเล่นไหนก็คลิกเข้าไปดูมันจะให้ข้อมูลว่าจำกัดความสูงขั้นตำ่ที่เท่าไหร่ ระยะเวลารอคิวนานแค่ไหน อยู่ตรงที่ใด มีข้อมูลร้านอาหารและตารางกิจกรรมรวมถึงบอกด้วยว่าจะเจอตัวการ์ตูนได้ตรงไหนบ้าง คือดีและที่สำคัญฟรี


Picture
ขบวนพาเรด
Part 1 : โซน Disney Parc

เราเริ่มกันที่ Parc Disney โซนนี้จะเป็นพวกเครื่องเล่น มีบัตรแล้วเข้าได้เลยไม่ต้องรอคิว เห็นแถวน่าจะมีสัก15-20นาทีได้ เข้าไปปุ๊บพี่มาทิอาสก็จัดการแชะรูปเลย แล้วก็เดินเข้าไปที่ Main Street พอดีมีขบวนพาเหรดมา ตอนที่ไปเป็นทรีม เจ้าหญิงกับโจรสลัด ถามมาทิอาสรู้จักตัวไหนบ้าง ลูกชายหันมาตอบอย่างภาคภูมิใจ « นั้นไง Mickey หนูหูดำๆหัวใหญ่ๆ แล้วก็ผู้หญิงชุดสีฟ้าก็Elsa ส่วนที่เหลือเพราะมาทิอาสไม่รู้จักเลยต้องมาดูจะได้รู้จักไงหม่าม้า » (จบทริปกลับมาลูกฉันก็ยังเอาตุ๊กตาMickey มาทำเป็นน้องสาวแล้วตั้งชื่อให้อย่างเก๋ว่า “ซากุระ” 😭)
ดูจบก็เดินเข้าไปอีกหน่อยและเครื่องเล่นแรก เริ่มกันเบาๆเป็นการประเดิมทริปเรา นั้นก็คือ

  • 1. Orbiton มันคือยานอวกาศแบบเครื่องบินเปิดประทุนที่หมุนไปๆและสูงขึ้นๆ ไม่น่าหวาดเสียวเด็กเล็กๆก็เล่นได้ แต่คิวนั้นรอกันไป45นาทีเพื่อหมุนประมาณ1นาที (ไม่น่ากลัว แต่พอลงปุ๊บถามมาทิอาสเป็นไงบอกปวดท้อง) จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่

  • 2. Alice´s Curious Labyrinth มาจากเรื่องอลิซในเมืองมหัศจรรย์นั้นเอง เดินสบายมากหลงกันสบายเลย มันมาในลักษณะป่าเขาวงกตเดินวนๆไปก็จะเจอกับตัวละครในเรื่องไปตามทาง แล้วสุดท้ายก็จะไปจบที่ขึ้นไปบนหอคอยมีวิวสวยๆให้ดู อันนี้ดีไม่ต้องรอคิว ถ้าสายชอบถ่ายรูปน่ารักน่าจะชอบมีพร้อพมากมาย (แต่เราคงไม่กลับไปเล่นอีกอันนี้ ไม่ค่อยมีอะไร)

  • 3. Peter Pan’s Flight อันนี้ได้รับความนิยมสูง ป้ายคิวบอกรอประมาณ75นาที เกือบจะไม่เข้าแล้ว พอดีเห็นมี fast pass เลยลองเอาการ์ดเราไปแตะดูได้ด้วยแฮะ ตั๋วfast pass เขาจะกำหนดเวลารอบที่เข้า เราก็กดไว้แล้วไปเล่นอย่างอื่นก่อนกลับมาตอนเวลาที่บอกในตั๋วก็ได้เข้าทางพิเศษรอไม่ถึง 10นาทีก็ได้เล่น แต่มันไม่ได้ใช้ได้กลับเครื่องเล่นทุกอัน และมันก็จำกัดรอบที่ใช้2-3อัน/วัน ถ้าอยากได้แบบใช้มันตะพึดตะพือไม่มีลิมิต้องซื้อoption super fast pass ราคาประมาณ130€เพิ่มเข้าไป) อันนี้จะให้นั่งเรือแบบรถไฟเปิดประทุน มันจะวิ่งไปในที่มืดๆแล้วก็จะเห็นเป็นเมืองเล็กๆประดับด้วยแสงไฟละลานตา ได้อารมณ์เหมือนเราเป็นปีเตอร์แพลนกำลังบินอยู่เลย (มาทิอาสไม่ค่อยชอบเท่าไรบอกไม่มีไรน่าตื่นเต้น จบทริปยังจำไม่ค่อยได้เลยว่าเล่น😂)

  • 4. Indiana Jones et le Temple du Péril : อันนี้มาทิอาสอยากจะเล่นมากมายเพราะได้ยินเสียงกรี๊ดกระจาย ดูตื่นเต้น ปรากฎว่าสูงไม่ถึงเพราะกำหนดขั้นต่ำ140cm. (กลับไปซดซุปก่อนนะลูก😛)

  • 5. Thunder Mesa Riverboat Landing ขึ้นเรือไปชมรอบเกาะ หลังจากอาหารกลางวันเราก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูป up faceอะไรก็ว่าไป...สรุปคือมีไว้ให้พักเหนื่อยเพราะเรือเล่นช้ามากๆ เราจะได้เห็นทิวทัศน์ที่โซนนี้เขาทำเป็นเมืองจำลองสไตล์far west

  • 6. La plage des Pirates อันนี้ไม่มีเครื่องเล่นให้หวาดเสียวหรือกระตุ้นการเต้นของหัวใจแต่อย่างใด เดินเล่นชิวๆถ่ายรูปเพลินเดินวนไป

  • 7. Buzz Lightyear Lazer Blast : อันนี้เรามาทำกันเช้าวันที่2ตอนที่เขาเปิดรอบพิเศษเลยรอคิวแค่ 10 นาที ปกติอันนี้รอกัน 75นาที เล่นได้ทุกวัยเหมาะกับเด็กเล็กๆด้วย เราจะได้เข้าไปนั่งในยาน แต่ละยานจะมีปืนเลเซอร์ 2 กระบอก ยานจะเลือนไปตามรางเลื่อน เราก็บังคับยานให้หมุนซ้ายหมุนขวาแล้วยิ่งเลเซอร์ให้โดนแป้นที่นิ่งบ้างเคลื่อนไหวบ้าง ถ้ายิงถูกคะแนนก็จะขึ้นที่แป้นของยานเรา แข่งกัน2คนเพราะมีกันคนละฝั่ง เครื่องเล่นนี้มีถ่ายรูปด้วย

  • 8. Big Thunder Mountain : อันนี้เราหมายมั่นว่าจะเล่นกันตั้งแต่วันแรกแต่คิวยาวเกิน เลยจัดกันเช้าวันที่2 มันคืออะไรทำไมถึงกระตุ้นความอยากขนาดนั้น ตอนดูอยู่ไกลๆได้ยินเสียงคนกรี๊ดจากเกาะด้านนั้นมาถึงด้านนี้เราก็ตั้งชื่อให้มันว่า “หุบเขารถไฟสายฟ้าฟาด” แต่พอได้เล่นและลงมาเราขอเรียกมันว่า “เหวมรณะรถไฟสายนรก” มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นมันแค่เป็นขบวนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วมากไปตามหุบเขาที่หักมุมและวิ่งรอดเข้าเหวหรือถ้ำมืดเป็นระยะๆ แต่ที่มันทำให้คนกรี๊ดได้เสียงดังน่าจะเป็นเพราะเราไม่ได้ถูกรัดแน่นให้ติดกับเก้าอี้ ตอนที่รถไฟหักโค้งด้วยความเร็วเราก็จะไหลไปไหลมามันเลยทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและรู้สึกว่าเสี่ยงกับการตกได้ ทางเดียวคือต้องจับบาร์ที่คาดบริเวณเอวให้แน่นๆ น่าแปลกใจที่ให้เด็กสูง1เมตรเล่นได้ เราไม่ค่อยแนะนำจริงๆ ส่วนมมาทิอาสนั้นไม่มีเสียงร้องสักแอะ แต่ลงมาหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย (ทีเมื่อวานรำ่ร้องจะเล่น!) แต่นี้ยังไม่ใช่ที่สุดของความตื่นเต้นในทริปนี้นะจ๊ะ

  • 9. La Tannière du Dragon : อันนี้เดินหลงเข้าไปในถ้ำแบบงงๆ เพราะมองไม่เห็นป้าย ไม่มีคิว เป็นแค่ทางเข้ามืดๆลดเลี้ยวไป แล้วอยู่ๆก็เจอsurprise ใหญ่บิ๊กบึ้ม เพราะมันคือมังกรตัวเป็นๆกำลังคำรามยกหัวขู่พร้อมกับกระพริบตาสีแดงๆ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะที่ขามันมีโซ่ล่ามไว้หนึ่งข้าง งานทำได้ละเอียดถึงขั้นท้องมังกรมันพองขึ้นยุบลงแบบสิ่งมีชีวิตที่กำลังหายใจ ต้องบอกเลยว่าเหมือนมากเป็นมังกรเวอร์ชั่นตะวันตกมีปีก ตัวดำๆ มีเกล็ดห่างไกลมังกรแบบจีนเลย อ้อกรุณาอย่าเสียงดังไปนะมันกำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่าปลุกมันเด็ดขาดเพราะดูเหมือนจะเป็นมังกรโมโหร้ายอยู่นะ😂😂 (อันนี้มาทิอาสชอบมากไปดูตั้ง 3รอบจะกลับบ้านยังไปแวะbye byeเลย)
  • 10. Dumbo the Flying Elephant : ช้างน้อยบิน มันให้อารมณ์ม้าหมุนดีๆนี่เอง แต่ช้างสามารถบังคับให้มันบินได้สูงตามต้องการ เหมาะกับเด็กเล็กๆมากเลย

  • 11. Pirates of the Caribbean : ขึ้นเรือล่องไปตามลำนำ้ในหมู่บ้านโจรสลัด ลึกเข้าไปเรื่อยๆก็จะเริ่มมืด นำ้จะเริ่มเชี่ยว เสียงดังของคนคุยกัน ร้านบาร์งานเลี้ยงฉลองยิ่งเข้าไปลึกก็จะเริ่มเห็นวิถีชีวิตของโจรสลัดที่นำเสนอในรูปหุ้นขี้ผึ้งขนาดเท่าของจริง ผ่านส่วนที่เป็นหมู่บ้านก็จะเข้าสู่แดนลึกเสียงเริ่มเงียบ อากาศเริ่มเย็นแล้วก็...บึ้ม! เรือตกลงไปในเหวพอให้หวาดเสียวนิด(ตอนนี้แหละที่เราจะถูกถ่ายรูป ยิ้มค่ะ😂)และอาจเปียกหน่อย จากนั้นก็จะเจอซากเรือโจรสลัดลำใหญ่หักครึ่งที่มีกระดูกอยู่ตามหิน มีผีห้อยโหน และแล้วเรือก็ล่องต่อจนมาถึงกองสมบัติที่เต็มไปด้วยหีบทองและแน่นอนหัวหน้าโจรสลัดนั่งจิบเบียร์ ก่อนกลับมีเรือตกเหวให้หวาดเสียวเป็นการทิ้งทวนก่อนจากกันนิด อันนี้น่าจะนานสัก7นาทีได้ เป็นอันหนึ่งที่ควรค่าแก่การต่อคิวเลย (แต่เราใช้fast passกัน)

สำหรับวันแรกรู้สึกยังเล่นไม่ถึงไหนเลยแต่จะ6โมงเย็นแล้ว เราเลยจำใจต้องออกเพราะจองโชว์ไว้รอบ 6.30เย็น เราหมดเวลาไปกับการต่อคิวรอเครื่องเล่น วิ่งเข้าร้านของเล่นร้านนี้ร้านนู้นเพราะคุณมาทิอาสจะต้องหาเหรียญและอยากใช้งบค่าของเล่นที่แม่ให้มาก อีกอย่างแค่ซื้อของกินคิวร้านที่สั้นที่สุดก็หมดไปเกือบ1ช.มเพื่อแลกมากับ ขนมปังhot dog และนักเก็ตส์ไก่กับโค้กพร้อมหลอดดูดมิกกี้ (คือทั้ง2วัน อาหารที่Disney ไม่ok มาก คิวยาวไม่อร่อย คือfast-food จริงๆ และราคาก็มาแบบไงก็ต้องซื้อจะโขกเท่าไหรก็จัดไป55 ส่วนร้านที่เป็นร้านอาหารจริงๆดูเหมือนจะดี คิวก็เกินรอ เสียเงินไม่ว่า แต่เสียเวลาและไม่อร่อยนี้สิ จริงๆควรพกอาหารสใตล์ปิกนิกไปได้ไม่เสียเวลา ต่อคิวไปกินไปได้สบายเลยแต่อันนี้แม่ไม่ได้คิด (สรุปคำ่อีกวันที่เราออกจากDisney ทั้งแม่และลูกต้องจัดทั้งนำ้ชาทั้งอาหารค่ำเพื่อชดเชยเลยทีเดียว)
Picture
La Légende de Buffalo Bill
Part 2 : Disney village

โซนนี้จะเป็นโซนที่อยู่นอกออกมาจาก Diney parc และ Disney Studio (จริงๆอยู่ใกล้ๆกันเลย) ในโซนนี้ใครๆก็ไปเที่ยวได้ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเข้า เป็นเหมือนที่รวมของแหล่งร้านค้า ที่กินที่มีตู้เกมส์แบบหยอดเหรียญเหมือนที่ห้างในประเทศไทยชั้นของเล่นทั่วไป ที่นี้มีโรงหนัง มีร้านอาหารเยอะแยะ มีร้านขายของที่ระลึกที่สำคัญเปิดกันยันเที่ยงคืน สรุปเป็นที่ให้เราได้เสียตังค์เพิ่มเพื่อไว้เป็นที่เดินเล่นหลังจากที่Parcเขาปิดตอน19.00นั้นเอง
La Légende de Buffalo Bill Show อันนี้คือการแสดงพร้อมอาหารค่ำมี2รอบให้เลือก 18.30 หรือ 21.00 เราจองรอบแรกกับชั้น1มา (แนะนำให้จองกับตอนที่จองโรงแรมพร้อมกับแพ็คเกจดิสนีย์ไปเลย เพราะราคาจะถูกกว่าคิดว่าน่าจะได้ลด.10%และที่สำคัญเต็มค่ะ แต่เอาจริงๆจองชั้น2ก็ได้ที่นั่งไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ อาหารก็เหมือนกันแต่ชั้น1จะได้นั่งที่ด้านหน้ากับปีกข้างๆ และมีขนมกินเล่นเพิ่มขึ้นมา ที่เหลือเหมือนกันทุกอย่างราคาต่างกัน40€)
เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกเข้าประตูไปในร้านไม้สไตล์ far west เราก็ได้พบกับเอกลักษณ์แบบฉบับบรรยากาศcow boy ด้วยกลิ่นมูลสัตว์ หญ้าฟางและม้าที่มาทักทายต้อนรับเป็นอันดับแรกก่อนที่เราจะเดินถึงเคาน์เตอร์เสียอีก หลังจากโชว์การ์ด(อันเดียวกับเข้าเครื่องเล่น) เขาก็ให้หมวกcow boy มีแทบสีพร้อมป้ายบอกโต๊ะและที่นั่งมาให้ แล้วก็ปล่อยเราเดินสะเปะสะปะไปตามยถากรรมเรื่อยจนไปเห็นฉากต้นกระบองเพชรให้ถ่ายรูป เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นบรรไดไม้2ฝั่ง แล้วก็จะเจอโค้ดสีที่ป้ายกับเลขโต๊ะ เดินเข้าไปก็มีcow boy แต่งตัวราวกับลูกเสือสำรองมาพาไปนั่งโต๊ะไม้หน้าตาเหมือนอัฐจรรย์เชียร์กีฬาสี บนโต๊ะมีchips คิดในใจ กินแย่อีก1มื้อแน่ แต่ผิดคาด เขาเสริฟอาหารสไตล์Tex max มีทั้งไส้กรอก ไก่ย่าง ซี่โครงหมู BBQ กับถั่วต้มในซอสแบบเผ็ดๆ ส่วนเครื่องดื่มนั้นเป็น coke หรือเบียร์รีฟิลแบบพี่ๆcow boysขยันเติมมาก (เรานี้ไม่ชอบโค้ก มาทิอาสนี้กระดกไม่ยั้งเลย) เปิดฉากมาด้วยcow boy ขี่ม้าไล่กันมาแล้วก็มาตั้งcamps หลังจากนั้นก็การต่อสู้กันระหว่างชนเผ่าอินเดียแดงกับคนอเมริกัน แล้วก็ต่อกันด้วยนายอำเภอสาวนักแม่นปืน สักพักก็คั่นด้วยการเปิดตัวของเหล่าการ์ตูนและผองเพื่อนมาร้องเพลง แล้วก็จบด้วยการแข่งขันของเหล่าcow boys ในเกมส์ต่างๆ
การแสดง มันน่าตื่นเต้นเร้าใจขนาดนั้นไหม ก็ไม่ แต่ถูกใจเด็กๆแน่นอนเพราะเราจะถูกทำให้รู้สึกว่าคุณเข้าไปอยู่ในเมืองfar westที่มีแต่ cow boys และคุณจะต้องมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งเพื่อทำให้โชว์ออกมาสนุกเริ่มตั้งแต่การได้พร้อพที่เป็นหมวกcow boyที่มีสีของแต่ละทีม เราต้องทำตามคำสั่งที่หัวหน้ากองเชียร์บอก เคาะช้อน ทุบโต๊ะ ร้องเพลงกระทั้งโฮสีอื่นก็ทำ สรุปเราไม่ได้มาแค่ดูโชว์แต่เรามาเพื่อเป็นตัวประกอบของโชว์ (อันนี้คือสิ่งที่มาทิอาสชอบสุดในทริปนี้ แม่ก็เลยถามตัวเองอยู่จะซื้อแพ็คเกจแพงมาเพื่อ? ถ้าเอาแค่นี้bookแต่โชว์ก็ได้ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าparcก็ได้ไหม
หลังจากออกจากโชว์ราวๆเกือบ 2 ชม. มาทิอาสก็จัดการเดินเลาะสำรวจDisney village ต่อไป จนกระทั่ง22.40เราก็เดินไปนั่งรถ shuttle bus ไปยังโรงแรม ที่อยู่แค่ด้านหลังของVillage เดิน2นาทีถึง


Part 3: Disney’s hotel Cheyenne
การเดินทางจากParcมาโรงแรมนี้ใช้เวลาประมาณ7นาที แต่ความท้าทายก่อนกลับที่พักคือเราใช้เวลานานมากในการหาที่จอดรถของโรงแรม เพราะมันมีกันหลายคันต้องขึ้นให้ถูกด้วยนะ! พอมาถึงโรงแรมมันเกือบจะ 23.00นแล้วเราเลยไม่ได้ชมความงามมันสักเท่าไหร่เพราะตรงไปยัง เคาน์เตอร์โชว์การ์ด เขาให้หมายเลยตึกและห้องมาเอากระเป๋าแล้วก็มุ่งตรงไปยังห้องของเรา. ตอนจองเอารูปให้มาทิอาสเลือก เธอถูกใจสใตล์cowboys เราก็เลยเอาอันนี้ แถมอันนี้ราคายังถูกสุดในบรรดาโรงแรมทั้งหมด แต่อ่านในรีวิวเขาบอกว่าห้องเพิ่งทำใหม่ และเป็นอันเดียวที่มีทั้งร้านอาหาร salon และร้าน Starbucks แยกกันอย่างเป็นเอกเทศ นั้นหมายความว่าเราจะมีสิทธิ์เลือกของกินหลายแนวสะดวกที่สุด ถ้ามาหน้าร้อนที่นี้มีลูกม้าแคระให้เด็กขี่ได้ด้วย (คือลูกฉันเข้าใจเลือกจริงๆ) ตึกด้านนอกดูธรรมดาตกแต่งสใตล์โรงแรมไกลปืนเที่ยงมาก แต่พอเปิดประตูเข้าไปห้องน่ารักกว้างใช้ได้มีกระจกบานใหญ่ ตกแต่งตรีมToy story โคมไฟยังเป็นรูปรองเท้าบูท ห้องน้ำกว้างดีมีอ่างอาบนำ้ด้วย แต่ที่ถูกใจมาทิอาสที่สุดคือขวดสบู่เหลวมีฝาเป็นหัวMicky สรุปโรงแรมดีเกินคาดมาก คิดว่าเขาจัดเรท2ดาว เพราะที่4 -5 ดาวมีสระว่ายน้ำ เอาจริงๆตอนจองเราก็ว่า2ดาวที่นี้ราคาต่างกับที่4 ดาวแค่ 50€เอง แต่ลูกฉันจะเอาที่นี่ ถ้าไปครั้งหน้าเราก็จะจองที่นี้อีก บริการโดยรวมดี รวดเร็วและเดินทางสะดวกดีด้วย

8 โมงเช้าวันอังคาร(ค่ะคนเขียนเป็นเด็กยุค 90) เราก็check out แล้วเอากระเป๋าทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์รอให้บริการ luggage expressมาขนไปรอที่สถานีรถไฟ ส่วนเรา2คนนั้นก็เป้คนละใบไปDisney parcเพื่อจะใช้สิทธิ์Magic hour plusที่ให้เข้าเล่นก่อนเวลาเปิดทำการ (ช่วงนี้คือ 8.30 แต่ถ้าหน้าร้อนอาจจะเปิดกลางคืนเพิ่ม) วันนี้แม่เตรียมตัวมาดีเพราะมาพร้อมกับลิสท์เครื่องเล่นที่เขาเปิดทำการและเลือกอันที่ปกติมันต้องรอคิวนานๆ ฉนั้นไปถึงปุ๊บเราก็ไม่เสียเวลาไปยังเป้าหมายทันที จากต้องรอ75นาที เหลือแค่ 10-15นาทีเอง (ก็แน่ละคนที่นอนโรงแรมของDisney ไม่ได้มีแค่เราที่ได้รับสิทธิ์) ในวันที่ 2นี้เราเล่นนิดเดียวในส่วนของ Disney Parc เราไปสำรวจฝั่งของ Studio แล้วก็กลับกันตอนบ่าย4เพราะเราจะไปต่อกันในตัวเมือง Paris (เหตุผลหลักๆที่ออกเร็วคือพวกเราต้องการอาหารและขนมอร่อย เริ่มไม่ไหวกับอาหารfast foodแล้ว เพราะความสุขของการเที่ยวของเราคืออาหารด้วย เพราะเราอยู่เพื่อกิน ไม่ใช่แค่กินเพื่ออยู่🙃😉)
Picture
Hotel Cheyenne
Picture
The twilight tower zone tower of terror
Part 4. โซน Disney Studio
โซนนี้เราไม่ค่อยได้สำรวจอะไรกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะออกแนวเทคนิคแบบพวกแอฟแฟค เล่นเป็นตัวการ์ตูน มีภาพยนตร์ให้ดู รู้สึกเหมือนได้ไปเดินในHollywood เราไปกันวันที่ 2 เดินดูแล้วก็เล่นเครื่องเล่นนิดเดียว อาจจะน้อยแต่บอกเลยมันจะมี1อย่างที่คิดว่าน่าจะได้ยินเสียงกรีดดังที่สุดเพราะมันเด็ดดวงจริงๆ ถึงขนาดแบบลงมาเสร็จมาทิอาสบอกกลับได้เลยเต็มอิ่มจนแทบจะทะลักแล้วสำหรับทริปนี้ ที่เหลือค่อยมาทริปต่อไป


  • 1.Toy Solidier Parachute Drop : วางเป้ถอดสัมภาระแล้วไปกระโดดร่มกัน อันนี้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่มาทิอาสชอบมากมาย (แต่แม่นี้ไม่ค่อยok เพราะมันสูงและโล่งที่สำคัญตามันเห็นว่าสูงมาก แบบหวาดเสียวแม่ไม่กลัวแต่อะไรที่ต้องขึ้นที่สูงแล้วขาลอยฝ่าเท้าไม่ติดอะไรเลยอันนี้กลัว) อันนี้lockดีแน่นหนาเลย เครื่องจะไต่ไปที่ความสูง3/4 (ประมาณตึก3ชั้น)ก่อนแล้วมันก็จะค้างให้หายใจไม่ทั่วท้องสัก5วิจากนั้นก็ตกมา1/2หนึ่ง อย่าคิดว่ามันจบมันจะรีบพุ่งขึ้นสูงสักตึก4ชั้นแล้วค้างให้ดูทัศนียภาพซึ่งมันสวย แต่แม่ไม่ok เลยไม่รู้สึกว่าอยากดูเท่าไหร่ วินาทีนี้อยากลงแล้ว😭😭😭 ดูเหมือนว่าฟ้าจะได้ยินเสียงเรียกร้องอึดใจต่อมาเธอปล่อยลงกระทันหันเลย แบบตกใจจนลืมกรีดกันไปเลยแต่ที่พีคกว่ามาทิอาสที่นั้งข้างๆนี้หัวเราะชอบใจบอกเอาอีกๆ (ไม่ได้ดูสีหน้าแม่มันเลย! รถไฟนรกเรายังไม่กลัวเท่าอันนี้เลย)

  • 2. The Twilight Zone Tower of Terror : ไม่ใช่แค่โรงแรมผีสิง แต่มันคือประสบการณ์การใช้ลิฟต์ที่ทำให้อดีนาลีนพุ่งพล่าน อันนี้คือต้องจัดเลยถ้าต้องการความตื่นเต้นเร้าใจขั้นสุดแบบที่มากกว่าขนหัวลุก คิวยาว75นาทีแต่เราใช้ fast pass ได้ที่นี้และมีรูปถ่ายด้วย หลังเล่นนี้เสร็จจะหมดความอยากใช้บริการลิฟต์ในโรงแรมกันเลยทีเดียว ประสบการณ์จะเริ่มด้วยคุณถูกเชิญเข้าไปในห้องรับรอง หลังจากนั้นก็เดินขึ้นชันบนจะได้เห็นของตกแต่งแบบเก่าอารมณ์โรงแรมเก่าทรุดโทรมหน่อย จากนั้นพนักงานก็จะมาเชิญคุณไปพักยังห้องที่จัดไว้แต่มันต้องผ่านการใช้ลิฟต์ จัดการนั่งlockอย่างแน่นหนาที่เก้าอี้เสร็จประตูลิฟต์ปิดเท่านั้นแหละคุณเอยมันลงมาชั้น1เห็นภาพลางๆ เสียงความน่ากลัวก็เริ่มขึ้น แต่เดียวก่อนแค่นี้มันอาจจะดูธรรมดาไป หลังจากเริ่มขนลุกรายการต่อไปก็ไม่รอช้า อึดใจต่อมาลิฟต์กระตุกพุ่งขึ้นไปค้างเติ่งอยู่ที่เกือบถึงดาดฟ้า (ดูท่าDisney จะชอบให้เราดูวิวสูงๆเสียจัง) แล้วมันก็ร่วงลงมากระทันหัน นึกสภาพเหมือนคุณถูกผลักให้ตกลงมาจากตึกชั้นที่13แบบไม่ตั้งตัวเพื่อลงไปค้างอยู่กลางตึก ประตูลิฟต์เปิดออกเห็นสิ่งน่ากลัวแล้วก็ปิดพาขึ้นพาลงอยู่อย่างนี้3-4รอบในที่สุดก็ปล่อยเราลง ดีใจที่ได้เห็นพนักงานแทบอยากจะกระโดดไปกอดเลยทีเดียว! นี้เป็นของเล่นอันแรกและชิ้นเดียวที่มาทิอาสพูดขณะยังไม่จบว่า “มาทิอาสปวดท้องอยากลง” พอลงปุ๊บชวนกลับบ้านเลย😝 และนี้ก็เป็นอันสุดท้ายที่เราเล่นที่Disneyland

หลังออกจากDisneyland เราก็นั่งRER Aเข้าเมือง ทริปนี้เราได้ค้นพบร้านนำ้ชาที่เสริฟขนมสไตล์ญี่ปุ่นอร่อยควรค่าแก่การไปลิ้มลองมาแนะนำด้วย! (น่าจะได้อ่านเร็วๆนี้)


รักนะเลยบอกให้ :
  • Disneyland Paris, Boulevard de Parc, 77700 Coupvray เดินทาง RER A
  • ถ้าซื้อแพ็คเกจแบบนอนโรงแรมของDisney ราคาจะรวมตั๋วเข้าทั้ง2Parcให้เลย +ได้เล่นตอนสวนสนุกปิดแล้วเพิ่มอีก1ชม. ราคารายหัว บางทีมีโปรโมชั่นช่วงlow seasonบ่อยมากเลย
  • ซื้อทุกอย่างแบบonlineล่วงหน้าจะได้ราคาถูกกว่าและประหยัดเวลาเยอะมาก
  • ควรจะมีแผนเตรียมไปเลยว่าจะเล่นอะไรบ้าง อย่าไปดูก่อนแล้วค่อยเลือก โหลดแอป Disneyland Parisใส่มือถือไปด้วย
  • Fast pass เป็นoption เริ่มจาก69-130€มันใช้ไม่ได้กับเครื่องเล่นทุกอัน (ห้องบางoptionก็ไดสิทธิ์นี้ บางทีเพิ่มค่าห้องยังถูกกว่าไปซื้อตั๋วแยกรายคน ถ้ามาอย่างน้อย2คน)
  • ค่าอาหารเป็นเรทแบบ+30%จากราคาปกติ
  • สำหรับMagic hourต้องดูลิสท์ด้วยว่าของเล่นอันไหนเปิด ขอได้จากโรงแรมที่พัก

1 Comment

    Archives

    March 2022
    January 2022
    June 2019
    May 2019
    March 2019

    Categories

    All
    อาหารฝรังเศส
    เที่ยวฝรั่งเศส
    Acitivity
    Bordaux Restaurant
    Bordeaux
    Gastronomy
    Paris
    Restaurant
    Restaurant Gastronomy
    Restaurant Paris
    Retaurant
    Salon Du Thé
    Teatime
    Top Teatime
    Visit

    RSS Feed

element_settings.Image_30621876.default
 Author : Bee  BW
YouTube : Teatime Diary by BW
Blockdit : Teatime Diary by BW
IG : teatimediary.bw / Bee BW
​Mail : teatimediarybw@gmail.com
www.teatimediary.com
​

Home

Teatime

Restaurant

visit

activity

contact

Copyright © 2023
  • Home
  • Teatime
  • Restaurant
  • visit
  • activity
  • contact
  • Blog