Seven Tea's : ร้านนำ้ชา ชวนย้อนเวลาหารัก ยุค 70’S ร้านน้ำชาที่ทำให้เราตกหลุมรักได้ในเวลาแค่เพียง 3 วิ! ถ้าจะบอกว่าเป็นร้านที่ทำให้รู้สึกแบบ รัก ณ. แรกพบ ก็คงจะไม่เกินไปนัก… มันคือร้านที่มองปราดเดียว แต่สะดุดตา และสะกดขาเรา 2 แม่ลูกให้ก้าวเท้าพร้อมยื่นมือผลักประตูเข้าไปดูแบบงง ๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาขายอะไร และไม่เห็นมีลูกค้าในร้านสักคน…(ไม่ใช่ “8โมงเช้าวันอังคาร” แค่ 9 โมงสาย ๆ วันพุธ😉) แล้วอะไรหรือ…ที่เป็นมนต์สะกด ทำให้เรามองหน้ากันแล้วตัดสินใจ จะไปลองลิ้ม ชิมรส และพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ จากความตั้งใจแรกเริ่มที่จะไปร้านน้ำชาเจ้าคุ้นเคยฝั่งตรงข้าม…มาร่วมหาคำตอบและพิสูจน์ไปพร้อมกันว่า “รักแรกพบใน 3 วิ” ครั้งนี้ จะใช่รักแท้ที่คงอยู่ หรือจะเป็นเพียง “รักแรกพบ ที่จบลงด้วยการลาจากอย่างถาวร”… หลังจากผลักประตูกระจกหนักอึ้งขนาดกว้าง 90 เซนเข้าไป…สิ่งแรกที่ออกมาแสดงตัวต้อนรับเรา คือ เสียงดนตรีบรรเลงเพลง Jazz ที่ลอยมากระทบโสตประสาท สร้างความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกำลังก้าวขาเดินเข้าไปใน “lounge” หรือ cocktail bar…ขณะที่ภาพปรากฏเบื้องหน้า คือ ห้องโถงยาวสีขาว ตัดกับเก้าอี้ไม้ และโซฟาสีฉูดฉาด โทนแดง ส้ม เหลือง ที่โดดเด่นดึงดูดสายตามาแต่ไกล เด่นขนาดที่ว่ามันถูกจัดวางในแถวท้ายๆของห้อง และอยู่ในระยะที่ไกลสุดนับจากประตูทางเข้า แต่กลับเป็นสิ่งแรก ๆ ที่เราเห็น การจัดวางเก้าอี้และตรีมสีของร้านที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานในบรรยากาศสไตล์ “Jazzy” (ต้องบอกเลยเค๊ารักษาตรีมร้านได้ยันห้องน้ำอ่ะ เหลืองตั้งแต่พื้นยันผนังห้องเลย😄) จากนั้นสายตาเราก็ไปสะดุดกับโซฟายาวสีส้มและเหลืองตรงกลางร้าน ตั้งแบบหันหลังชนกัน หันหน้าเข้ากำแพง ในใจแอบคิดไปว่า ใครจะมานั่งเรียงแถวกันแบบนี้น๊า แต่พอลองไปนั่งแล้ว บอกเลยว่ามันคือ ที่ต้องนั่งและคู่ควรแก่การใช้เวลาเสพสุขสักพัก เพราะเราจะเห็นชั้นที่วางแผ่นเสียงเรียงราย 2 ฝั่งตลอดความยาวของที่นั่ง มีบางแผ่นที่ถูกเอามาจัดวางบนกำแพง ส่วนอีกด้านหนึ่ง มีกีตาร์ พร้อมแก้วและงานศิลปะแบบกระเป๋าทำมือขายด้วย แน่นอนมีแผ่นเสียงก็ต้องมีเครื่องเล่น ซึ่งมันถูกจัดให้ตั้งอยู่แบบแอบ ๆ ราวกับสาวขี้อายที่มุมท้ายห้อง… หลังจากสำรวจสถานที่ สอดส่องทุกมุม และเพลิดเพลินกับการเดินมองพื้น ที่มีตัวอักษรเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนไม้ที่แกะออกมาจากลังใส่ขวดไวน์แล้วมาวางต่อๆกัน เราก็ตัดสินใจไปนั่งที่เก้าอี้นวมสีแดง กับโต๊ะเตี้ยกระจกสีควันบุหรี่ ถ้าคุณมองหาตัวเลือกเหมาะสำหรับจิบชา ทานขนม หรือทำงาน โต๊ะนี้อาจไม่ใช่มุมดีที่ตอบโจทย์นัก แต่มันเป็นมุมเก๋ เหมาะกับถ่ายรูปลง IG เป็นที่สุด หรือนั่งคุยกระหนุงกระหนิงตามภาษาคนรักก็ดูเข้าที ส่วนเรานั้นเลือกมุมนี้ ด้วยเหตุผลของเด็กชายมาทิอาส ที่ว่า มันดูตัดกับเสื้อแจ็กเก็ตสีเขียวสะท้อนแสงของเขาดี😂 (ค่ะ ดิฉันมีลูกชาย 9 ปี ที่มีสไตล์การแต่งตัว แบบไม่ปรึกษาพ่อแม่ และไม่คิดจะอ่านไลน์กลุ่ม🤣🤣) เจ้าของร้านพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส ดูอัธยาศัยดี ระหว่างพาเราเดินชมร้านและให้เลือกนั่งตามชอบใจ ทำให้เรารู้ว่าเขาเพิ่งเปิดได้ยังไม่ถึงเดือนเลย… ในที่สุดเราก็ได้เวลาค้นพบว่า ร้านเขาขายอะไร (จะได้ทานแล้ว…หลังจากพล่ามมานาน😅) เมนูดูไม่ซับซ้อนและไม่มีอะไรหวือหวาเลย มีกาแฟ เครื่องดื่มเย็น น้ำอัดลม ช็อกโกแล็ต ชาสมุนไพร ชาเขียว ชาขาว และชาดำ แต่ไม่มีชาเขียวธรรมดา😔 มีแต่เขียวกลิ่นมะลิ ไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนขนมก็มี คุกกี้ ชีสเค้ก ครัวซอง ขนมปังกับแยม แต่ที่สะดุดตาเราคือ “chocolatine (โช-โค-ลา-ติน)” ราคา 1.20 ยูโร แต่ “pain au chocolat (ปัง-โอ-โช-โก-ลา)” คิด 50 ยูโร ทั้งที่จริงมันคือขนมอันเดียวกัน! เป็นขนมปังใส่ช็อกโกแล็ตข้างใน แต่ถ้าสั่งผิด ชีวิตเปลี่ยนนะ เขาไม่ได้พิมพ์ราคาที่เมนูผิดแต่อย่างใด แต่มันคือ หนึ่งในกิมมิกอารมณ์ขันของร้านนี้ จะมาเรียกแบบชาวปารีสว่า “pain au chocolat” ในเมือง Bordeaux ก็จ่ายราคาสูงไปนะจ๊ะ😉…ให้รู้กันไปว่า นี่ถิ่นใคร😆… สิ่งที่เราสั่งวันนี้ ชาเขียวมะลิ กับ chocolatine ของคุณมาทิอาส แล้วก็ชาสมุนไพร กับ ชีสเค้กของเรา บอกตรงๆตอนเห็นเมนู คิดในใจว่าไม่ต้องหวังมากกับรสชาติ ถือว่าได้สถานที่ตกแต่งมีสไตล์ไป แต่พอเขาเอาชามาเสริฟ์ เราแอบบวกคะแนนเพิ่มให้ในใจไปอีกมากอยู่ เพราะอย่างน้อยถือว่า เข้าใจหัวอกคนดื่มชาว่ามันควรจะมีที่จับเวลา และที่รองกากชามาให้ ซึ่งร้านโดยทั่วไปไม่คิด (แม้กระทั่งโรงแรมใหญ่ๆบางที่ก็ไม่มีให้) ทั้งหมดมาในชุดเครื่องแก้ว มีกาขนาดกำลังพอดี ถ้วยรองกากชา และแน่นอนแก้วชา วางลงในถาดไม้พร้อมนาฬิกาทรายแบบ 3 4 และ 5 นาที…สำหรับขนมรสชาติก็พอได้ แต่ชีสเค้กจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี ถ้าคุณเป็นแฟนชีสเค้กสไตล์ New York เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอ ‘ชีสเค้กแบบฝรั่งเศส’ ที่ ไม่เค็ม ไม่มัน ไม่เลี่ยน (สารพัด ‘ไม่’ รวมถึงความอร่อยด้วย😅) นอกจากนั่งจิบชา และเพลิดเพลินกับการทานขนมแล้ว เรายังสามารถเดินไปเลือกแผ่นเสียงแล้วเอาไปเปิดได้ตามชอบใจด้วย แผ่นที่กำลังเล่นอยู่เขาจะเอาซองไปตั้งไว้ที่มุมผนังด้านหนึ่ง อยากรู้ว่ามันคือเพลงอะไรก็เดินไปดูได้สะดวกแบบไม่รบกวนใครเลย หลังจากนั่งแช่ ถ่ายรูปเล่น และสำรวจสักพักใหญ่ เริ่มมีคนเข้ามานั่งเพิ่ม สิ่งที่สังเกตได้เลย คือ ทุกคนน่าจะมาทำงาน เพราะนั่งๆแล้วก็กดหน้าจอกันทั้งนั้น ไม่ต้องคิดว่าจะไปเจอใครหรือได้พบรัก ณ.แรกสบตา เพราะทุกคนไม่เงยหน้าจากจอเลย😂😂 จะว่าไปจริง ๆ แล้วที่นี่ก็ดูเหมาะกับมานั่งทำงาน หรือหาไอเดียอยู่เหมือนกันนะ มีทั้ง wifi เก้าอี้ และโต๊ะแบบนักเรียนที่เหมาะกับการทำงานเป็นอย่างดี สรุปร้านนี้สำหรับเราเป็น “รัก ณ. แรกพบ” ที่ไม่ได้จบด้วยการลาจากอย่างถาวร แต่ยังไม่ถึงขั้นรักแท้ที่คงทน น่าจะกลายมาเป็น ‘สะดุดรัก ณ. แรกพบ แล้วจบด้วยการพัฒนาสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันแบบ ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ นาน ๆ เจอกันทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าดูเรื่องความหลากหลายของขนมและเครื่องดื่ม ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ๆ แนะนำ แต่ถ้าต้องการหาบรรยากาศและการตกแต่งแนวสีสันสนุกสนาน มีความโปร่งโล่งสบายเหมาะกับการทำงาน และราคาแบบเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ หรือนัดลูกค้าแบบไม่เป็นทางการที่เน้นเร็ว ไม่นั่งแช่ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน ข้อมูลควรรู้
Auteur : Bee Waleethong
|
เดินไปกลางๆซอยเราก็จะหยุดอยู่ที่ตึกกำแพงหินที่มีป้ายเล็กๆพื้นสีทองมีตัวอักษรจีนตัวเดียวสีแดงเขียนอยู่ คิดว่าเขาคงเขียนคำว่า Pang ที่เป็นชื่อร้าน ถ้าไม่สังเกตุให้ดีอาจไม่เห็นแต่ไม่ต้องกลัวจะหาไม่เจอนะเพราะมีโต๊ะและโซฟาแบบไม้สานตั้งทางด้านหน้าร้านและมันมักจะมีคนเป็นกลุ่มยืนออกันอยู่ข้างนอก ยืนทำไร? คือที่เต็มยืนรอคิวค่า... ด้านในร้านตกแต่งให้มีสีไฟแบบสลัวๆ มืดนิดๆ(แนวทึบๆทึมๆอีกแล้ว) มีโต๊ะกลมเล็กๆกับเก้าอี้กลมๆผ้ากำมะหยี่สีเขียวขนเป็ด มีส่วนที่เป็นเก้าอี้ทรงสูงเรียงกัน9ที่ตรงหน้าบาร์ มีมุมซ้ายมือติดทางเข้าเป็นโต๊ะเตี้ยขอบทองกับโซฟาแบบเรียงต่อกันเป็นสี่เหจตุรัสแบบเปิด 1ด้าน คือมุมนี้สวยสุดใครๆก็จะแย่งกันมุมนี้ แต่เราไม่แนะนำอย่างแรง...อย่าหลงไปยื้อแย่งกับเขาเชียว เพราะมันสวย แต่นั่งไม่สบายเลย ขาเราจะไปติดกับโต๊ะ ถ้าหน้าหนาวมันติดหน้าต่างมีลมเข้าอีก ที่ๆดีสุดถ้ามากันไม่เกิน3คนคือตรงบาร์นั้นแหละ ถ้าไม่งั้นก็ขอไปนั่งด้านในถัดจากบาร์ไปเลย ถ้าส่วนข้างนอกพอสักหน่อยจะมีคนมายืนต่อกันดูไม่สงบสุขสักเท่าไหร่ที่ก็ติดกัน แต่ก็พอนั่งได้สบายนะ ถ้าคุณไม่สามารถไปถึงตั้งแต่ตอนร้านเปิดประมาณทุ่มหรื่อทุ่ม15 ก็ให้ไปหลัง3ทุ่มครึ่งไปเลยเพราะไม่งั้นยืนร้องเพลงรอกันยาวไปจ้า...(เขาไม่รับจองนะ)... ดูจะได้ชิมยากเนอะ? แต่มันคู่ควรกับการรอนะ... |
| สำหรับเครื่องดื่มอย่างที่บอกมันคือร้านที่มีbartenderจริง ชงเครื่องดื่มและตกแต่งออกมาเป็นcocktail แบบรสชาติดี หน้าตาสวยถ่ายรูปเก๋ ถ้านั่งตรงบาร์ก็จะได้ดูเวลาเขาชงดูมีลีลาดีไปอีก... จริงๆcocktail สั่งได้ตามที่ชอบเลยราคาอยู่ในเลท 12-14€ และ 8-9€สำหรับแบบไม่มีเหล้า ในแต่ละอันเขาจะบอกว่าใส่อะไรบ้างรสชาติออกแนวไหน เลือกกันตามอัธยาศัยเลย เขามีเบียร์กับไวน์ด้วยแต่ไม่ค่อยแนะนำ แต่ที่ห้ามสั่งเลยสำหรับเครื่องดื่มคือชาเพราะมันมาในกาจิ๋วแบบที่เด็กเอาไว้เล่นขายของแบบรินได้2จอก(ขนาดแบบถ้วยไหว้จ้าวที่มีจานขนาดเท่าฝ่ามือคนตัวเล็กและผอมมากแต่ใส่แก้วนำ้ชาได้5ถ้วย!) นอกจากปริมาณน้อยถ้าชาเลิศเราจะอภัยแต่นี้ชาธรรมดามากแต่ราคากดไป8€!
|