Cité du vin : พิพิธภัณฑ์ไวน์ มา Bordeaux หนึ่งที่ต้องแวะ คือ พิพิธภัณฑ์ไวน์ หรือ “Cité du vin” …อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งส่ายหัว หรือ “say no” แม้ว่าคุณจะไม่ใช่สายดื่ม… เพราะแม้แต่เด็กเล็ก (แนะนำตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป) ถ้าลองได้ก้าวขาเข้าไป ก็ยังชื่นชอบ (ลูกดิฉันนี่ ไปแล้ว ไปอีก ไปตั้งแต่เล็กๆ ทุกวันนี้ก็ยังชอบไปอยู่เลย) และถ้าคุณเป็นสายดื่มอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรพลาด… แล้วก็ลืมภาพพิพิธภัณฑ์แบบดั้งเดิม ที่มีตัวหนังสือยาวเป็นพรืด แบบแค่เห็นความยาวของแต่ละย่อหน้าก็ถอดใจ อยากร้องกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะที่นี่ ข้อมูล กิจกรรม สถานที่ รวมถึงวิธีการนำเสนอ ถูกออกแบบและจัดวางแบบ interactive ย่อยง่าย และทันสมัย ทำให้การเรียนรู้ ทำความเข้าใจวัฒนธรรมในการผลิตไวน์เป็นเรื่องสนุก น่าติดตาม เวลา 1 - 2 ชั่วโมงจะผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบที่คุณไม่รู้ตัว เพราะมั่วแต่เพลิดเพลินกับการเรียนรู้ กดนั้น ดูนี่ อย่างสนุกสนาน ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวเล่น มากกว่าไปพิพิธภัณฑ์เสียอีก…เริ่มรู้สึกน่าไปแล้วไหม ถ้าพร้อมแล้วเรียนเชิญค่ะ…
พอก้าวขาเข้าไป แน่นอนด่านแรกคือเคาน์เตอร์ขายตั๋ว😂😂 การเดินทางของเราจะเริ่มโดยการเดินขึ้นบันไดไม้ ที่ถูกออกแบบมาจากการจำลองไวน์ที่หมุนวนอยู่ภายในแก้ว (ไปให้สุด ไม่มีหลุดจากตรีม😜) บันไดนี้จะพาเราเดินวนขึ้นไปที่ชั้น 1 ขวามือจะเป็นห้องสมุด ที่สร้างเป็นรูปโดม มีหลังคาเป็นไม้สีสว่าง ตกแต่งให้ดูโปร่ง เรียบง่าย แต่ดูสบายตา บรรยากาศเชื้อเชิญให้นั่งสุดๆ ที่นี่รวบรวมหนังสือ ข้อมูลและการ์ตูนเกี่ยวกับไวน์ให้อ่านฟรี แถมมีเก้าอี้พร้อมสายชาร์จให้อีก แต่ไม่มีบริการให้ยืมกลับบ้าน (ไม่ต้องซื้อตั๋วก็ใช้บริการห้องสมุดได้ฟรี) ส่วนซ้ายมือจะเป็นห้องไว้สำหรับสัมมนา ห้อง work shop ต่าง ๆ (แนะนำให้ดูโปรแกรม หรือ book ก่อนมา) ต่อให้บรรยากาศชวนแวะแค่ไหน แต่อย่าเพิ่งหยุดที่นี่ เพราะเราต้องเดินขึ้นบันไดไม้วนขึ้นไปอีก 1 ชั้น การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ของเราจะเริ่มอย่างเป็นทางการที่ชั้น 2 หลังจาก scan ตั๋วแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ audio guide พร้อมหูฟัง ตัว audio มีหลายภาษาให้เลือก แต่ยังไม่มีภาษาไทยอยู่ในนั้น🥲 มี audio guide เวอร์ชั่นสำหรับเด็กด้วย อยากไปไหน ดูอะไร แค่เอาเครื่องนี้ไปยิงที่ code bar ตรงสิ่งที่เราสนใจ แต่ละอันจะสั้นๆ เนื้อหาเข้าใจง่าย ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นสำหรับเด็ก มีมุกตลกและเกมส์แถมให้อีก😉
ส่วนพวกเรานั้น แน่นอนที่สุดต้องเลือกทาง “สายกลาง” แผนที่ไม่ต้อง เพราะขี้เกียจดู😂😂 เราจะเดินไปเรื่อยๆ แวะแทบทุกจุด อันไหนสนุก ถูกใจ คนไม่เยอะ พอให้ถ่ายรูปได้ เราก็แวะนานหน่อย😉 เริ่มต้นอุ่นเครื่องเบา ๆ พอให้สัมผัสบรรยากาศ กับฐานแรกซึ่งตั้งอยู่ที่ทางเข้า มีชื่อว่า “survol des vignobles / vineyards from the skies” ที่ ๆ เราจะเจอกับหน้าจอยักษ์ ขนาบ 3 ด้าน พร้อมม้านั่งยาวเรียงราย ที่จะพาเราชมทัศนียภาพไร่ไวน์ แบบกว้างสุดลูกหูลูกตา จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยคลิป video ที่ถ่ายจากมุมสูง ถ้าจะดูให้ครบซีรีย์จะใช้เวลาประมาณ 8 นาที (เรารักคนอ่านขนาดไหน ถึงขนาดจับเวลาให้ด้วย😊) หลังจากเต็มอิ่มกับทัศนียภาพของไร่ไวน์ที่กว้างใหญ่ไพศาล คราวนี้เราจะหันมาสนใจของขนาดเล็ก อย่างเจ้าองุ่นลูกน้อย ๆ เพียงแค่เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไม่ถึง 15 ก้าว เราจะเจอ ไม้หน้าสามเรียงต่อกัน โดยมีป้ายเขียว ๆ แดง ๆ หน้าตาอนุมาณว่าคือ พวงองุ่นติดเป็นระยะ ๆ องุ่นแต่ละพวงจะมีตัวอักษรติดอยู่ด้วย ฐานนี้มีชื่อว่า « Dans les vignes / In the Vine » เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ต้น กิ่ง ก้าน ใบ เถา ดิน และสายพันธุ์ขององุ่น ทุกคำที่แปะอยู่ที่เถาองุ่นแต่ละพวง เราจะพบคำตอบว่ามันคืออะไร จากการ scan ที่หน้าจอสีเหลี่ยมผืนผ้าที่ห้อยอยู่นั้นเอง ฐานนี้ดูเหมือนเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่เห็นจำนวนป้าย บอกเลยใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน (ถ้าจะฟังให้ครบก็ต้องมี 15 นาที) แต่เป็นหนึ่งฐานที่แนะนำว่าต้องแวะเลย และถ้ายิ่งมากับเด็กยิ่งแนะนำ เพราะมันมีเกมส์ให้เล่น (แย่งลูกเล่นไปอีก😂) presentation แต่ละอันแค่สั้น ๆ มีทั้งแบบ ภาพ video และข้อความให้อ่าน เป็น 15 นาที ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่น่าเบื่อแน่นอน รู้จักสายพันธุ์แล้ว ต่อมาเราจะชวนไปทำไวน์ในฐานที่มีชื่อว่า « L’élaboration du vin / Wine making » องุ่นเก็บมาแล้ว จากนั้นต้องทำไงต่อ กว่าจะมาเป็นไวน์ 1 ขวด นี่คือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากฐานนี้ ไม้พาย ตระกร้า เครื่องจักร ถังบ่มไวน์ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพราะฐานนี้เราจะทำไวน์ด้วยมนต์วิเศษ ที่ใช้เพียง นิ้วชี้จิ้มที่หน้าจอแต่ละอัน เลือกไวน์ขาว ไวน์แดงตามชอบใจ แล้วเราก็จะเข้าสู่กระบวนการ ตั้งแต่ แยกองุ่น คั้นน้ำ แยกเปลือก ใส่ถังหมัก จนกระทั้งบรรจุขวดพร้อมส่งโรงบ่ม ทั้งหมดนี้เสร็จง่าย ๆ ด้วยปลายนิ้วชี้ ในเวลาแค่เพียง 8 นาที ฐานนี้เด็ก ๆ ต้องแวะ เพราะมี 3 เกมส์ให้เล่น หนึ่งในนั้นคือการสร้างถังบ่มไวน์ของตัวเองด้วย (แม่อย่างดิฉัน มีหรือจะพลาด ไปขอเล่นของลูกอีกตามเคย😂)
ออกจากเรือ เราขอนำเสนอให้ไปพักกาย พักใจกันต่อที่ฐาน « vin de l’amour / wine and love » โดมกลม ๆ ที่พอแหวกม่านสายสลิงสีขาวเข้าไป จะพบที่นั่งสีแดงทอดยาวเป็นรูปครึ่งวงกลม เย้ายวนชวนนั่งเป็นที่สุด ถ้ามาเป็นคู่ นี่คือฐานที่โรแมนติกที่สุด และที่นั่งสบายสุด บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้ม และเหมาะกับการนอนเป็นอย่างยิ่ง ฐานนี้เหมาะกับการปล่อยใจ และปล่อยกายที่สุด เพราะแค่นอนหลังพิงเก้าอี้ หงายหน้า ตาจ้องเพดาน และปล่อยใจให้รับรู้เรื่องราวความรัก ผ่านภาพที่มีลวดลายศิลปะแนวโรมัน (เป็นความโรแมนติก เคลือบแฝงมากับความอีโรติกเบา ๆ ในระดับของงานศิลปะ แบบไม่มากไป แต่มีอะไรให้ตีความต่อ) ในขณะที่หู จะได้ยินเสียงเพลงลอยแว่วมา พร้อมด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงฝน เสียงฟ้าร้องและอื่นๆ แบบครบทุกองค์ประกอบของความรัก แบบ สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ครบทุกช่วงเวลา ตั้งแต่รักใหม่ผลิใบ ไปจนถึงจากลาใบไม้ร่วงหล่นจากต้น จนกระทั่งฟ้ายังหลั่งน้ำตา…(เรื่องมันเศร้า เคล้าน้ำตาจริง ๆ )
2 Comments
Seven Tea's : ร้านนำ้ชา ชวนย้อนเวลาหารัก ยุค 70’S ร้านน้ำชาที่ทำให้เราตกหลุมรักได้ในเวลาแค่เพียง 3 วิ! ถ้าจะบอกว่าเป็นร้านที่ทำให้รู้สึกแบบ รัก ณ. แรกพบ ก็คงจะไม่เกินไปนัก… มันคือร้านที่มองปราดเดียว แต่สะดุดตา และสะกดขาเรา 2 แม่ลูกให้ก้าวเท้าพร้อมยื่นมือผลักประตูเข้าไปดูแบบงง ๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาขายอะไร และไม่เห็นมีลูกค้าในร้านสักคน…(ไม่ใช่ “8โมงเช้าวันอังคาร” แค่ 9 โมงสาย ๆ วันพุธ😉) แล้วอะไรหรือ…ที่เป็นมนต์สะกด ทำให้เรามองหน้ากันแล้วตัดสินใจ จะไปลองลิ้ม ชิมรส และพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ จากความตั้งใจแรกเริ่มที่จะไปร้านน้ำชาเจ้าคุ้นเคยฝั่งตรงข้าม…มาร่วมหาคำตอบและพิสูจน์ไปพร้อมกันว่า “รักแรกพบใน 3 วิ” ครั้งนี้ จะใช่รักแท้ที่คงอยู่ หรือจะเป็นเพียง “รักแรกพบ ที่จบลงด้วยการลาจากอย่างถาวร”… หลังจากผลักประตูกระจกหนักอึ้งขนาดกว้าง 90 เซนเข้าไป…สิ่งแรกที่ออกมาแสดงตัวต้อนรับเรา คือ เสียงดนตรีบรรเลงเพลง Jazz ที่ลอยมากระทบโสตประสาท สร้างความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกำลังก้าวขาเดินเข้าไปใน “lounge” หรือ cocktail bar…ขณะที่ภาพปรากฏเบื้องหน้า คือ ห้องโถงยาวสีขาว ตัดกับเก้าอี้ไม้ และโซฟาสีฉูดฉาด โทนแดง ส้ม เหลือง ที่โดดเด่นดึงดูดสายตามาแต่ไกล เด่นขนาดที่ว่ามันถูกจัดวางในแถวท้ายๆของห้อง และอยู่ในระยะที่ไกลสุดนับจากประตูทางเข้า แต่กลับเป็นสิ่งแรก ๆ ที่เราเห็น การจัดวางเก้าอี้และตรีมสีของร้านที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานในบรรยากาศสไตล์ “Jazzy” (ต้องบอกเลยเค๊ารักษาตรีมร้านได้ยันห้องน้ำอ่ะ เหลืองตั้งแต่พื้นยันผนังห้องเลย😄) จากนั้นสายตาเราก็ไปสะดุดกับโซฟายาวสีส้มและเหลืองตรงกลางร้าน ตั้งแบบหันหลังชนกัน หันหน้าเข้ากำแพง ในใจแอบคิดไปว่า ใครจะมานั่งเรียงแถวกันแบบนี้น๊า แต่พอลองไปนั่งแล้ว บอกเลยว่ามันคือ ที่ต้องนั่งและคู่ควรแก่การใช้เวลาเสพสุขสักพัก เพราะเราจะเห็นชั้นที่วางแผ่นเสียงเรียงราย 2 ฝั่งตลอดความยาวของที่นั่ง มีบางแผ่นที่ถูกเอามาจัดวางบนกำแพง ส่วนอีกด้านหนึ่ง มีกีตาร์ พร้อมแก้วและงานศิลปะแบบกระเป๋าทำมือขายด้วย แน่นอนมีแผ่นเสียงก็ต้องมีเครื่องเล่น ซึ่งมันถูกจัดให้ตั้งอยู่แบบแอบ ๆ ราวกับสาวขี้อายที่มุมท้ายห้อง… หลังจากสำรวจสถานที่ สอดส่องทุกมุม และเพลิดเพลินกับการเดินมองพื้น ที่มีตัวอักษรเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนไม้ที่แกะออกมาจากลังใส่ขวดไวน์แล้วมาวางต่อๆกัน เราก็ตัดสินใจไปนั่งที่เก้าอี้นวมสีแดง กับโต๊ะเตี้ยกระจกสีควันบุหรี่ ถ้าคุณมองหาตัวเลือกเหมาะสำหรับจิบชา ทานขนม หรือทำงาน โต๊ะนี้อาจไม่ใช่มุมดีที่ตอบโจทย์นัก แต่มันเป็นมุมเก๋ เหมาะกับถ่ายรูปลง IG เป็นที่สุด หรือนั่งคุยกระหนุงกระหนิงตามภาษาคนรักก็ดูเข้าที ส่วนเรานั้นเลือกมุมนี้ ด้วยเหตุผลของเด็กชายมาทิอาส ที่ว่า มันดูตัดกับเสื้อแจ็กเก็ตสีเขียวสะท้อนแสงของเขาดี😂 (ค่ะ ดิฉันมีลูกชาย 9 ปี ที่มีสไตล์การแต่งตัว แบบไม่ปรึกษาพ่อแม่ และไม่คิดจะอ่านไลน์กลุ่ม🤣🤣) เจ้าของร้านพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส ดูอัธยาศัยดี ระหว่างพาเราเดินชมร้านและให้เลือกนั่งตามชอบใจ ทำให้เรารู้ว่าเขาเพิ่งเปิดได้ยังไม่ถึงเดือนเลย… ในที่สุดเราก็ได้เวลาค้นพบว่า ร้านเขาขายอะไร (จะได้ทานแล้ว…หลังจากพล่ามมานาน😅) เมนูดูไม่ซับซ้อนและไม่มีอะไรหวือหวาเลย มีกาแฟ เครื่องดื่มเย็น น้ำอัดลม ช็อกโกแล็ต ชาสมุนไพร ชาเขียว ชาขาว และชาดำ แต่ไม่มีชาเขียวธรรมดา😔 มีแต่เขียวกลิ่นมะลิ ไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนขนมก็มี คุกกี้ ชีสเค้ก ครัวซอง ขนมปังกับแยม แต่ที่สะดุดตาเราคือ “chocolatine (โช-โค-ลา-ติน)” ราคา 1.20 ยูโร แต่ “pain au chocolat (ปัง-โอ-โช-โก-ลา)” คิด 50 ยูโร ทั้งที่จริงมันคือขนมอันเดียวกัน! เป็นขนมปังใส่ช็อกโกแล็ตข้างใน แต่ถ้าสั่งผิด ชีวิตเปลี่ยนนะ เขาไม่ได้พิมพ์ราคาที่เมนูผิดแต่อย่างใด แต่มันคือ หนึ่งในกิมมิกอารมณ์ขันของร้านนี้ จะมาเรียกแบบชาวปารีสว่า “pain au chocolat” ในเมือง Bordeaux ก็จ่ายราคาสูงไปนะจ๊ะ😉…ให้รู้กันไปว่า นี่ถิ่นใคร😆… สิ่งที่เราสั่งวันนี้ ชาเขียวมะลิ กับ chocolatine ของคุณมาทิอาส แล้วก็ชาสมุนไพร กับ ชีสเค้กของเรา บอกตรงๆตอนเห็นเมนู คิดในใจว่าไม่ต้องหวังมากกับรสชาติ ถือว่าได้สถานที่ตกแต่งมีสไตล์ไป แต่พอเขาเอาชามาเสริฟ์ เราแอบบวกคะแนนเพิ่มให้ในใจไปอีกมากอยู่ เพราะอย่างน้อยถือว่า เข้าใจหัวอกคนดื่มชาว่ามันควรจะมีที่จับเวลา และที่รองกากชามาให้ ซึ่งร้านโดยทั่วไปไม่คิด (แม้กระทั่งโรงแรมใหญ่ๆบางที่ก็ไม่มีให้) ทั้งหมดมาในชุดเครื่องแก้ว มีกาขนาดกำลังพอดี ถ้วยรองกากชา และแน่นอนแก้วชา วางลงในถาดไม้พร้อมนาฬิกาทรายแบบ 3 4 และ 5 นาที…สำหรับขนมรสชาติก็พอได้ แต่ชีสเค้กจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี ถ้าคุณเป็นแฟนชีสเค้กสไตล์ New York เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอ ‘ชีสเค้กแบบฝรั่งเศส’ ที่ ไม่เค็ม ไม่มัน ไม่เลี่ยน (สารพัด ‘ไม่’ รวมถึงความอร่อยด้วย😅) นอกจากนั่งจิบชา และเพลิดเพลินกับการทานขนมแล้ว เรายังสามารถเดินไปเลือกแผ่นเสียงแล้วเอาไปเปิดได้ตามชอบใจด้วย แผ่นที่กำลังเล่นอยู่เขาจะเอาซองไปตั้งไว้ที่มุมผนังด้านหนึ่ง อยากรู้ว่ามันคือเพลงอะไรก็เดินไปดูได้สะดวกแบบไม่รบกวนใครเลย หลังจากนั่งแช่ ถ่ายรูปเล่น และสำรวจสักพักใหญ่ เริ่มมีคนเข้ามานั่งเพิ่ม สิ่งที่สังเกตได้เลย คือ ทุกคนน่าจะมาทำงาน เพราะนั่งๆแล้วก็กดหน้าจอกันทั้งนั้น ไม่ต้องคิดว่าจะไปเจอใครหรือได้พบรัก ณ.แรกสบตา เพราะทุกคนไม่เงยหน้าจากจอเลย😂😂 จะว่าไปจริง ๆ แล้วที่นี่ก็ดูเหมาะกับมานั่งทำงาน หรือหาไอเดียอยู่เหมือนกันนะ มีทั้ง wifi เก้าอี้ และโต๊ะแบบนักเรียนที่เหมาะกับการทำงานเป็นอย่างดี สรุปร้านนี้สำหรับเราเป็น “รัก ณ. แรกพบ” ที่ไม่ได้จบด้วยการลาจากอย่างถาวร แต่ยังไม่ถึงขั้นรักแท้ที่คงทน น่าจะกลายมาเป็น ‘สะดุดรัก ณ. แรกพบ แล้วจบด้วยการพัฒนาสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันแบบ ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ นาน ๆ เจอกันทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าดูเรื่องความหลากหลายของขนมและเครื่องดื่ม ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ๆ แนะนำ แต่ถ้าต้องการหาบรรยากาศและการตกแต่งแนวสีสันสนุกสนาน มีความโปร่งโล่งสบายเหมาะกับการทำงาน และราคาแบบเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ หรือนัดลูกค้าแบบไม่เป็นทางการที่เน้นเร็ว ไม่นั่งแช่ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน ข้อมูลควรรู้
Auteur : Bee Waleethong
|
เมนูของเราวันนี้มาในconcept "terre et mer" (แต เอ แมร์) หรือก็คือแผ่นดินและผืนนำ้ทะเลนั้นเอง...ข้อดีของอาหารแบบgastronomyคือไม่ต้องเลือกอาหารว่าจะทานอะไร แต่จะตามใจอารมณ์ศิลปินของเชฟและก็จะเสริฟเหมือนกันยกโต๊ะ เรามีหน้าที่แค่เลือกจะเอาชุดเล็ก(4จาน) หรือชุดใหญ่(6จาน)พอ...และแน่นอนทานเองจ่ายเองก็จัดชุดใหญ่ไปไม่ต้องเกรงใจใคร😉 เมนูของพวกเราวันนี้เริ่มด้วย "Oeuf mimosa" (เอิฟ มิ-โม-ซ่า) พอเห็นหน้าตาแอบมีผิดหวังนิดๆเพราะอันนี้มันเป็นอาหารพื้นๆฝรังเศสที่เอาไข่แดงต้มผสมกับมายองเนสเกลือแล้วก็ยัดมันกลับเข้าไปในหลุ่มเหมือนเดิม...แต่แน่นอนเชฟติดดาวคงไม่ทำอะไรที่มันง่ายขนาดนั้นมั้ง🤔 มันต้องมีเซอร์ไพรส์สิ(นี้แอบคิดในใจ) และก็แน่นอนหน้าตามันดูเหมือนไข่ต้ม? แต่มันไม่มีทั้งไข่ทั้งเนื้อคะ...มันคือการเอาหน่อไม้ฝรั่งสีขาวมาทำเป็นไข่ขาวส่วนมูสนั้นเป็นครีมของหน่อไม้ผสมถั่วงอกและเครื่องเทศสีเหลือง...รสชาติก็ออกหวานๆจืดๆให้เนื้อสัมผัสเย็นๆละมุนลิ้น สรุปหน้าตาธรรมดาแต่หลอกให้เราทานผักได้สนิทใจ...😜 |
เดินไปกลางๆซอยเราก็จะหยุดอยู่ที่ตึกกำแพงหินที่มีป้ายเล็กๆพื้นสีทองมีตัวอักษรจีนตัวเดียวสีแดงเขียนอยู่ คิดว่าเขาคงเขียนคำว่า Pang ที่เป็นชื่อร้าน ถ้าไม่สังเกตุให้ดีอาจไม่เห็นแต่ไม่ต้องกลัวจะหาไม่เจอนะเพราะมีโต๊ะและโซฟาแบบไม้สานตั้งทางด้านหน้าร้านและมันมักจะมีคนเป็นกลุ่มยืนออกันอยู่ข้างนอก ยืนทำไร? คือที่เต็มยืนรอคิวค่า... ด้านในร้านตกแต่งให้มีสีไฟแบบสลัวๆ มืดนิดๆ(แนวทึบๆทึมๆอีกแล้ว) มีโต๊ะกลมเล็กๆกับเก้าอี้กลมๆผ้ากำมะหยี่สีเขียวขนเป็ด มีส่วนที่เป็นเก้าอี้ทรงสูงเรียงกัน9ที่ตรงหน้าบาร์ มีมุมซ้ายมือติดทางเข้าเป็นโต๊ะเตี้ยขอบทองกับโซฟาแบบเรียงต่อกันเป็นสี่เหจตุรัสแบบเปิด 1ด้าน คือมุมนี้สวยสุดใครๆก็จะแย่งกันมุมนี้ แต่เราไม่แนะนำอย่างแรง...อย่าหลงไปยื้อแย่งกับเขาเชียว เพราะมันสวย แต่นั่งไม่สบายเลย ขาเราจะไปติดกับโต๊ะ ถ้าหน้าหนาวมันติดหน้าต่างมีลมเข้าอีก ที่ๆดีสุดถ้ามากันไม่เกิน3คนคือตรงบาร์นั้นแหละ ถ้าไม่งั้นก็ขอไปนั่งด้านในถัดจากบาร์ไปเลย ถ้าส่วนข้างนอกพอสักหน่อยจะมีคนมายืนต่อกันดูไม่สงบสุขสักเท่าไหร่ที่ก็ติดกัน แต่ก็พอนั่งได้สบายนะ ถ้าคุณไม่สามารถไปถึงตั้งแต่ตอนร้านเปิดประมาณทุ่มหรื่อทุ่ม15 ก็ให้ไปหลัง3ทุ่มครึ่งไปเลยเพราะไม่งั้นยืนร้องเพลงรอกันยาวไปจ้า...(เขาไม่รับจองนะ)... ดูจะได้ชิมยากเนอะ? แต่มันคู่ควรกับการรอนะ... |
| สำหรับเครื่องดื่มอย่างที่บอกมันคือร้านที่มีbartenderจริง ชงเครื่องดื่มและตกแต่งออกมาเป็นcocktail แบบรสชาติดี หน้าตาสวยถ่ายรูปเก๋ ถ้านั่งตรงบาร์ก็จะได้ดูเวลาเขาชงดูมีลีลาดีไปอีก... จริงๆcocktail สั่งได้ตามที่ชอบเลยราคาอยู่ในเลท 12-14€ และ 8-9€สำหรับแบบไม่มีเหล้า ในแต่ละอันเขาจะบอกว่าใส่อะไรบ้างรสชาติออกแนวไหน เลือกกันตามอัธยาศัยเลย เขามีเบียร์กับไวน์ด้วยแต่ไม่ค่อยแนะนำ แต่ที่ห้ามสั่งเลยสำหรับเครื่องดื่มคือชาเพราะมันมาในกาจิ๋วแบบที่เด็กเอาไว้เล่นขายของแบบรินได้2จอก(ขนาดแบบถ้วยไหว้จ้าวที่มีจานขนาดเท่าฝ่ามือคนตัวเล็กและผอมมากแต่ใส่แก้วนำ้ชาได้5ถ้วย!) นอกจากปริมาณน้อยถ้าชาเลิศเราจะอภัยแต่นี้ชาธรรมดามากแต่ราคากดไป8€!
|
| ร้านนี้เมนู(บี)แนะนำ :
|
***การเดินทาง การผจญภัยของเราเริ่มตั้งแต่ตี5 ออกจากบ้านBordeauxเพราะต้องไปรถไฟTGV เที่ยวแรกตอน.5.40 เพื่อไปถึงสถานี Gare Montparnasse (Paris) ประมาณ8.30 (ซึ่งจริงๆเราไปถึง9โมงกว่าเพราะ รถไฟช้าไปกว่าครึ่งช.ม.) จากนั้นเราก็ต่อ RER A : ไปอีกประมาณ 1 ชม. เราก็ถึงสถานี Marne la Vallée คราวนี้แม่เตรียมตัวมาดีเราซื้อoption luggage express ไว้แล้ว มันทำอะไร? มันช่วยอำนวยความสะดวกในการเริ่มต้นผจญภัยได้เร็วขึ้นไม่ต้องรอคิวนาน ลงรถปุ๊บเดินตรงไปที่เคาเตอร์บอกชื่อคนกับโรงแรมที่จองไว้ (มันจะอยู่ในลิสท์เขาอยู่แล้ว) เขาก็จะให้บัตรเข้าDisneyและเอกสารทุกอย่างกับเราทันที พร้อมกับรับกระเป๋าเราไปแล้วก็เอาไปส่งให้ถึงโรงแรม ส่วนเราแม่ลูกก็เดินตัวปลิวเข้าไปเล่นที่parcได้เลย ส่วนขากลับหลังจากcheck out ตอนเช้าเขาก็จะมารับกระเป๋าเราที่โรงแรมแล้วก็เอาไปไว้ที่สถานีรถไฟให้ เพื่อที่เราจะได้ไปเล่นและเดินทางกลับได้เลยโดยไม่ต้องย้อนไปเอากระเป๋าที่โรงแรมอีก จะไปเอาตอนไหนก็ได้แต่ต้องก่อน 3 ทุ่ม optionนี้แนะนำรัวๆ 30€ ราคาเหมารวมขาไปและกลับ จะกระเป๋ากี่ใบก็ได้ ขาไปเราฝากไป1ใบ แต่ขากลับเรามี2ใบ ราคานี้จองตอนซื้อตั๋วกับbookโรงแรมพร้อมกันไปเลย เพราะเราจะได้บัตรแข็งที่เอาไว้ทั้งเข้าสวนสนุกและเป็นคีย์การ์ดห้องพักในอันเดียวกันเลย ถ้าจะเอาoptionจองและจ่ายร้านอาหารพร้อมเลยก็ได้แบบ1บัตรครบจบในอันเดียวก็สะดวกดี สิ่งที่เราเตรียมคือโหลด app Disneyland Paris ใส่โทรศัพท์ไว้เลย เข้าไปไม่ต้องมาอ่านแผนที่ อยากเล่นเครื่องเล่นไหนก็คลิกเข้าไปดูมันจะให้ข้อมูลว่าจำกัดความสูงขั้นตำ่ที่เท่าไหร่ ระยะเวลารอคิวนานแค่ไหน อยู่ตรงที่ใด มีข้อมูลร้านอาหารและตารางกิจกรรมรวมถึงบอกด้วยว่าจะเจอตัวการ์ตูนได้ตรงไหนบ้าง คือดีและที่สำคัญฟรี |
Part 2 : Disney village โซนนี้จะเป็นโซนที่อยู่นอกออกมาจาก Diney parc และ Disney Studio (จริงๆอยู่ใกล้ๆกันเลย) ในโซนนี้ใครๆก็ไปเที่ยวได้ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเข้า เป็นเหมือนที่รวมของแหล่งร้านค้า ที่กินที่มีตู้เกมส์แบบหยอดเหรียญเหมือนที่ห้างในประเทศไทยชั้นของเล่นทั่วไป ที่นี้มีโรงหนัง มีร้านอาหารเยอะแยะ มีร้านขายของที่ระลึกที่สำคัญเปิดกันยันเที่ยงคืน สรุปเป็นที่ให้เราได้เสียตังค์เพิ่มเพื่อไว้เป็นที่เดินเล่นหลังจากที่Parcเขาปิดตอน19.00นั้นเอง La Légende de Buffalo Bill Show อันนี้คือการแสดงพร้อมอาหารค่ำมี2รอบให้เลือก 18.30 หรือ 21.00 เราจองรอบแรกกับชั้น1มา (แนะนำให้จองกับตอนที่จองโรงแรมพร้อมกับแพ็คเกจดิสนีย์ไปเลย เพราะราคาจะถูกกว่าคิดว่าน่าจะได้ลด.10%และที่สำคัญเต็มค่ะ แต่เอาจริงๆจองชั้น2ก็ได้ที่นั่งไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ อาหารก็เหมือนกันแต่ชั้น1จะได้นั่งที่ด้านหน้ากับปีกข้างๆ และมีขนมกินเล่นเพิ่มขึ้นมา ที่เหลือเหมือนกันทุกอย่างราคาต่างกัน40€) เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกเข้าประตูไปในร้านไม้สไตล์ far west เราก็ได้พบกับเอกลักษณ์แบบฉบับบรรยากาศcow boy ด้วยกลิ่นมูลสัตว์ หญ้าฟางและม้าที่มาทักทายต้อนรับเป็นอันดับแรกก่อนที่เราจะเดินถึงเคาน์เตอร์เสียอีก หลังจากโชว์การ์ด(อันเดียวกับเข้าเครื่องเล่น) เขาก็ให้หมวกcow boy มีแทบสีพร้อมป้ายบอกโต๊ะและที่นั่งมาให้ แล้วก็ปล่อยเราเดินสะเปะสะปะไปตามยถากรรมเรื่อยจนไปเห็นฉากต้นกระบองเพชรให้ถ่ายรูป เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นบรรไดไม้2ฝั่ง แล้วก็จะเจอโค้ดสีที่ป้ายกับเลขโต๊ะ เดินเข้าไปก็มีcow boy แต่งตัวราวกับลูกเสือสำรองมาพาไปนั่งโต๊ะไม้หน้าตาเหมือนอัฐจรรย์เชียร์กีฬาสี บนโต๊ะมีchips คิดในใจ กินแย่อีก1มื้อแน่ แต่ผิดคาด เขาเสริฟอาหารสไตล์Tex max มีทั้งไส้กรอก ไก่ย่าง ซี่โครงหมู BBQ กับถั่วต้มในซอสแบบเผ็ดๆ ส่วนเครื่องดื่มนั้นเป็น coke หรือเบียร์รีฟิลแบบพี่ๆcow boysขยันเติมมาก (เรานี้ไม่ชอบโค้ก มาทิอาสนี้กระดกไม่ยั้งเลย) เปิดฉากมาด้วยcow boy ขี่ม้าไล่กันมาแล้วก็มาตั้งcamps หลังจากนั้นก็การต่อสู้กันระหว่างชนเผ่าอินเดียแดงกับคนอเมริกัน แล้วก็ต่อกันด้วยนายอำเภอสาวนักแม่นปืน สักพักก็คั่นด้วยการเปิดตัวของเหล่าการ์ตูนและผองเพื่อนมาร้องเพลง แล้วก็จบด้วยการแข่งขันของเหล่าcow boys ในเกมส์ต่างๆ การแสดง มันน่าตื่นเต้นเร้าใจขนาดนั้นไหม ก็ไม่ แต่ถูกใจเด็กๆแน่นอนเพราะเราจะถูกทำให้รู้สึกว่าคุณเข้าไปอยู่ในเมืองfar westที่มีแต่ cow boys และคุณจะต้องมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งเพื่อทำให้โชว์ออกมาสนุกเริ่มตั้งแต่การได้พร้อพที่เป็นหมวกcow boyที่มีสีของแต่ละทีม เราต้องทำตามคำสั่งที่หัวหน้ากองเชียร์บอก เคาะช้อน ทุบโต๊ะ ร้องเพลงกระทั้งโฮสีอื่นก็ทำ สรุปเราไม่ได้มาแค่ดูโชว์แต่เรามาเพื่อเป็นตัวประกอบของโชว์ (อันนี้คือสิ่งที่มาทิอาสชอบสุดในทริปนี้ แม่ก็เลยถามตัวเองอยู่จะซื้อแพ็คเกจแพงมาเพื่อ? ถ้าเอาแค่นี้bookแต่โชว์ก็ได้ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าparcก็ได้ไหม หลังจากออกจากโชว์ราวๆเกือบ 2 ชม. มาทิอาสก็จัดการเดินเลาะสำรวจDisney village ต่อไป จนกระทั่ง22.40เราก็เดินไปนั่งรถ shuttle bus ไปยังโรงแรม ที่อยู่แค่ด้านหลังของVillage เดิน2นาทีถึง |
Part 3: Disney’s hotel Cheyenne การเดินทางจากParcมาโรงแรมนี้ใช้เวลาประมาณ7นาที แต่ความท้าทายก่อนกลับที่พักคือเราใช้เวลานานมากในการหาที่จอดรถของโรงแรม เพราะมันมีกันหลายคันต้องขึ้นให้ถูกด้วยนะ! พอมาถึงโรงแรมมันเกือบจะ 23.00นแล้วเราเลยไม่ได้ชมความงามมันสักเท่าไหร่เพราะตรงไปยัง เคาน์เตอร์โชว์การ์ด เขาให้หมายเลยตึกและห้องมาเอากระเป๋าแล้วก็มุ่งตรงไปยังห้องของเรา. ตอนจองเอารูปให้มาทิอาสเลือก เธอถูกใจสใตล์cowboys เราก็เลยเอาอันนี้ แถมอันนี้ราคายังถูกสุดในบรรดาโรงแรมทั้งหมด แต่อ่านในรีวิวเขาบอกว่าห้องเพิ่งทำใหม่ และเป็นอันเดียวที่มีทั้งร้านอาหาร salon และร้าน Starbucks แยกกันอย่างเป็นเอกเทศ นั้นหมายความว่าเราจะมีสิทธิ์เลือกของกินหลายแนวสะดวกที่สุด ถ้ามาหน้าร้อนที่นี้มีลูกม้าแคระให้เด็กขี่ได้ด้วย (คือลูกฉันเข้าใจเลือกจริงๆ) ตึกด้านนอกดูธรรมดาตกแต่งสใตล์โรงแรมไกลปืนเที่ยงมาก แต่พอเปิดประตูเข้าไปห้องน่ารักกว้างใช้ได้มีกระจกบานใหญ่ ตกแต่งตรีมToy story โคมไฟยังเป็นรูปรองเท้าบูท ห้องน้ำกว้างดีมีอ่างอาบนำ้ด้วย แต่ที่ถูกใจมาทิอาสที่สุดคือขวดสบู่เหลวมีฝาเป็นหัวMicky สรุปโรงแรมดีเกินคาดมาก คิดว่าเขาจัดเรท2ดาว เพราะที่4 -5 ดาวมีสระว่ายน้ำ เอาจริงๆตอนจองเราก็ว่า2ดาวที่นี้ราคาต่างกับที่4 ดาวแค่ 50€เอง แต่ลูกฉันจะเอาที่นี่ ถ้าไปครั้งหน้าเราก็จะจองที่นี้อีก บริการโดยรวมดี รวดเร็วและเดินทางสะดวกดีด้วย 8 โมงเช้าวันอังคาร(ค่ะคนเขียนเป็นเด็กยุค 90) เราก็check out แล้วเอากระเป๋าทิ้งไว้ที่เคาน์เตอร์รอให้บริการ luggage expressมาขนไปรอที่สถานีรถไฟ ส่วนเรา2คนนั้นก็เป้คนละใบไปDisney parcเพื่อจะใช้สิทธิ์Magic hour plusที่ให้เข้าเล่นก่อนเวลาเปิดทำการ (ช่วงนี้คือ 8.30 แต่ถ้าหน้าร้อนอาจจะเปิดกลางคืนเพิ่ม) วันนี้แม่เตรียมตัวมาดีเพราะมาพร้อมกับลิสท์เครื่องเล่นที่เขาเปิดทำการและเลือกอันที่ปกติมันต้องรอคิวนานๆ ฉนั้นไปถึงปุ๊บเราก็ไม่เสียเวลาไปยังเป้าหมายทันที จากต้องรอ75นาที เหลือแค่ 10-15นาทีเอง (ก็แน่ละคนที่นอนโรงแรมของDisney ไม่ได้มีแค่เราที่ได้รับสิทธิ์) ในวันที่ 2นี้เราเล่นนิดเดียวในส่วนของ Disney Parc เราไปสำรวจฝั่งของ Studio แล้วก็กลับกันตอนบ่าย4เพราะเราจะไปต่อกันในตัวเมือง Paris (เหตุผลหลักๆที่ออกเร็วคือพวกเราต้องการอาหารและขนมอร่อย เริ่มไม่ไหวกับอาหารfast foodแล้ว เพราะความสุขของการเที่ยวของเราคืออาหารด้วย เพราะเราอยู่เพื่อกิน ไม่ใช่แค่กินเพื่ออยู่🙃😉) |
Part 4. โซน Disney Studio โซนนี้เราไม่ค่อยได้สำรวจอะไรกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะออกแนวเทคนิคแบบพวกแอฟแฟค เล่นเป็นตัวการ์ตูน มีภาพยนตร์ให้ดู รู้สึกเหมือนได้ไปเดินในHollywood เราไปกันวันที่ 2 เดินดูแล้วก็เล่นเครื่องเล่นนิดเดียว อาจจะน้อยแต่บอกเลยมันจะมี1อย่างที่คิดว่าน่าจะได้ยินเสียงกรีดดังที่สุดเพราะมันเด็ดดวงจริงๆ ถึงขนาดแบบลงมาเสร็จมาทิอาสบอกกลับได้เลยเต็มอิ่มจนแทบจะทะลักแล้วสำหรับทริปนี้ ที่เหลือค่อยมาทริปต่อไป
หลังออกจากDisneyland เราก็นั่งRER Aเข้าเมือง ทริปนี้เราได้ค้นพบร้านนำ้ชาที่เสริฟขนมสไตล์ญี่ปุ่นอร่อยควรค่าแก่การไปลิ้มลองมาแนะนำด้วย! (น่าจะได้อ่านเร็วๆนี้) รักนะเลยบอกให้ :
|